ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
“การท่องเที่ยวชุมชน” ถูกกล่าวขวัญถึงบ่อยๆ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 เพราะยังหวังพึ่งไม่ได้ในระยะใกล้ๆ นี้จากนักท่องเที่ยวนานาชาติ โดยเฉพาะจีน
ก่อนมีโรคระบาดโควิด-19 การท่องเที่ยวชุมชนถูกมองข้ามและถูกเหยียดจากคนชั้นนำกับกลุ่มเศรษฐีใหม่ขุนนางใหม่ว่าไม่ทันสมัย ไม่อินเตอร์ ทั้งๆ ในประเทศก้าวหน้าทางเทคโนโลยีล้วนให้ความสำคัญการท่องเที่ยวชุมชนควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวแบบอื่น เพราะต่างมีคุณค่าและมูลค่าของตัวเอง
แต่การท่องเที่ยวชุมชนเป็นที่รู้ดีในกลุ่มประเทศก้าวหน้าว่าเป็นการกระจายรายได้อย่างวิเศษ ขณะเดียวกันก็เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างได้ผลตรงไปตรงมา โดยเฉพาะเรื่องประวัติศาสตร์ท้องถิ่นซึ่งเป็นส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติ
โชคร้ายที่ประวัติศาสตร์ไทยไม่มีท้องถิ่น เพราะเผด็จการทหารใช้ “ประวัติศาสตร์ไทยแบบชาตินิยม” เป็นเครื่องมือสำคัญทางการเมืองการปกครองเพื่อผดุงความมั่นคงในอำนาจของพวกตนอย่างมีประสิทธิภาพผ่านระบบโรงเรียนและสื่อมวลชนของรัฐกับเอกชน เริ่มตั้งแต่ราว 70 ปีมาแล้ว ก่อน พ.ศ. 2500 สืบเนื่องจนทุกวันนี้และคาดว่าจะมีอีกนาน
ดังนั้น ชุมชนต่างๆ ในท้องถิ่นที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาของตนเองถูกกีดกันถึงขั้นถูกกำจัด เพราะขัดกับ “ประวัติศาสตร์ไทยแบบชาตินิยม” ข้อมูลหลักฐานของชุมชนท้องถิ่นที่ถูกกีดกันและถูกกำจัดออกไปนั่นแหละทรัพยากรท่องเที่ยวชุมชนอย่างดีวิเศษที่สุด
นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีในมหาวิทยาลัย มีอย่างน้อย 2 กลุ่มต่างกัน
กลุ่มแรก ประจบอำนาจด้วยการเป่านกหวีด รับใช้เผด็จการทหารอยู่ใต้ “ประวัติศาสตร์ไทยแบบชาตินิยม” แต่ตะโกนโพนทะนาว่า พวกตนเป็นนักวิชาการบริสุทธิ์ ไม่มีการเมือง
กลุ่มหลัง ไม่ยอมโอนอ่อนตามอำนาจเผด็จการทหาร แล้วยืนยันประวัติศาสตร์ท้องถิ่นตามหลักฐานโบราณคดีและประวัติศาสตร์ชุมชน ย่อมถูกกีดกัน แล้วถูกกำจัดออกไป
สื่อมวลชนไทยส่วนมากถูกหล่อหลอมกล่อมเกลาด้วยระบบการศึกษาซึ่งปลูกฝังยัดเยียดด้วย “ประวัติศาสตร์ไทยแบบชาตินิยม” จึงประโคมและทำหนังกับละครแต่เรื่องราวของสงครามกับเพื่อนบ้าน โดยตัดทิ้งประวัติศาสตร์สังคมที่มีชุมชนเป็นสำคัญ ส่งผลให้การท่องเที่ยวชุมชนไม่เคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวอย่างเฉื่อยชาจนเฉา