ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
“ศิลปะเพื่อชีวิต” เป็นพวกสังคมนิยม และเป็นคอมมิวนิสต์ ส่วน “ศิลปะเพื่อศิลปะ” เป็นคนดี เป็นพวกไม่คอมมิวนิสต์ ไม่สังคมนิยม เหล่านี้เป็นนิยามของฝ่ายนิยมสหรัฐอเมริกาที่ต่อต้านโซเวียตยุคสงครามเย็น เมื่อแพร่หลายถึงไทยใช้เป็นเครื่องมือกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองสมัยเผด็จการทหาร
“คุณค่าของศิลปะมิอาจวัดได้ด้วยตัวของมันเอง หากวัดด้วยความหมาย ผลสะท้อนและคุณประโยชน์อันพึงมีต่อมวลมนุษยชาติ” เป็นข้อความบนหน้าแรกของหนังสือ รับน้องใหม่ ของนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร พิมพ์ออกมาแจกในงานรับน้องใหม่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2500 จิตร ภูมิศักดิ์ เขียนถึงอย่างยกย่องสรรเสริญลงในหนังสือพิมพ์ยุคนั้น แล้วจิตรบอกอีกว่ายังมีบทแปลสำคัญอยู่ด้วยที่ “เสฐียร โกเศศ” สรุปใจความเรื่อง “ศิลปะคืออะไร” ของ ลีโอ ตอลสตอย นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ของรัสเซีย
ต่อมา พ.ศ. 2507 ผมสอบเอ็นทรานซ์ผ่านเป็นน้องใหม่ของมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยไม่เคยรู้มาก่อนเรื่องหนังสือรับน้องใหม่ พ.ศ.2500 และไม่มีใครพูดถึงไม่ว่ารุ่นพี่หรือใครๆ เข้าใจว่าจะถูก “ปิดปาก” ด้วยอำนาจกฎหมายลงโทษ “ผู้มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์” ของเผด็จการทหารยุคสงครามเย็นขณะนั้นซึ่งแข็งแกร่งดุดันและดุเดือดมาก
มหาวิทยาลัยศิลปากร (ตอนนั้น) มีพื้นที่อยู่หลังอาคารกรมศิลปากร (สนามหลวง) มี 4 คณะ ได้แก่ จิตรกรรมฯ, สถาปัตย์, โบราณคดี, มัณฑนศิลป์ (มีนักศึกษาคณะละไม่ถึง 30 คน รวมแล้วปีละราว 100 คน ทั้งหมดมหาวิทยาลัยมีไม่ถึง 400 คน) เป็นส่วนราชการหนึ่งของกรมศิลปากร โดยมีอธิบดีกรมศิลปากรเป็นผู้อำนวยการมหาวิทยาลัย (โดยตำแหน่ง) จึงไม่มี “อธิการบดี” เหมือนมหาวิทยาลัยอื่นๆ สมัยนั้น
[ผมสมัครสอบเอ็นทรานซ์เข้าคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร เพราะไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนตอนเรียนมัธยมต้น, มัธยมปลาย เชื่อว่ามีคนไม่รู้จัก (เหมือนผม) อีกมาก (สมัยนั้นไม่มีเอกสารแนะนำเข้าถึงง่ายเหมือนปัจจุบัน) จึงน่าจะมีคู่แข่งน้อยและมีโอกาสมากที่จะผ่านเอ็นทรานซ์ ซึ่งผมเพียงอยากเข้าเรียนมหาวิทยาลัยให้พ่อแม่ภูมิใจในความเป็นบ้านนอกขอกนาแค่นั้น จะสมัครสอบแข่งคณะอื่นมหาวิทยาลัยอื่นแค่คิดก็หมดสิทธิ์ เพราะคะแนนมัธยมปลายต่ำมากเกือบไม่ผ่าน จึงตัดสินใจสมัครสอบเข้าคณะที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนน่าจะปลอดภัยที่สุด]
ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยศิลปากรสมัยนั้นไม่เคยได้ยินแนวคิด “ศิลปะเพื่อชีวิต” หรือ “ศิลปะเพื่อประชาชน” เพราะข้อมูลข่าวสารความรู้ต้องรับด้านเดียวที่ทางการกำหนดคือ “ศิลปะเพื่อศิลปะ”, เป็น “ศิลปะบริสุทธิ์” คือ “ศิลปะเป็นทิพย์” ใครคิดต่างจากนี้ซึ่งหมายถึงใครที่เลื่อมใสศิลปะเพื่อชีวิต นั่นเป็นศิลปะไม่บริสุทธิ์ ไม่เป็นทิพย์ เป็นผีปอบผีบ้าผีคอมมิวนิสต์
แนวคิด “ศิลปะเพื่อศิลปะ” มีส่วนสำคัญทั้งผลักดันและกระตุ้นให้นักโบราณคดีไทย ในประวัติศาสตร์ศิลป์ เน้น “ศิลปะไทย” เป็นศิลปะบริสุทธิ์ของคนเชื้อชาติไทยบริสุทธิ์ เช่น ศิลปะสุโขทัย อาณาจักรสุโขทัย (ราชธานีแห่งแรก) โดยตัดทิ้งหลักฐานเก่าแก่ก่อนหน้านั้น ได้แก่ ภาพเขียนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตามเพิงผาและผนังถ้ำ, ประติมากรรมดินเหนียวประเภท “ตุ๊กตาเสียกระบาน” เป็นต้น แล้วมีอำนาจอยู่ในระบบการศึกษาไทยตามความปรารถนาของเผด็จการทหารยุคสงครามเย็นสืบเนื่องถึงยุคปัจจุบัน “เผด็จการโควิด” ที่แอบอ้างประชาธิปไตย
ยุคสงครามเย็น เผด็จการทหารต่อต้านคอมมิวนิสต์ได้ผลักดันและกระตุ้นแนวคิดด้านเดียวทาง “ศิลปะเพื่อศิลปะ” ครอบงำการศึกษาภาษาและวรรณคดีไทยเอียงข้างสุนทรียศาสตร์อย่างไม่ลืมหูลืมตา (ตราบจนทุกวันนี้) ใครคิดต่างไปทางนิรุกติศาสตร์ซึ่งมีสังคมและเศรษฐกิจ-การเมือง เป็นโดนดีถึงชีวิตซึ่งมีพยานยิ่งใหญ่คือ จิตร ภูมิศักดิ์
New normal หลังโควิด-19 เป็นแค่วาทกรรมทำเท่เท่านั้น แต่ในแนวคิดชีวิตจริงยังอยู่ใน Old normal ย้อนยุคสงครามเย็น เห็นได้ชัดจากประกาศภาวะฉุกเฉินของวิธีคิดแบบเผด็จการทหารเพื่อต่อสู้ศัตรูร่วมชุดใหม่ (สร้างขึ้นแทนคอมมิวนิสต์) ชื่อ โควิด-19