ผู้เขียน | นฤตย์ เสกธีระ |
---|
แท็งก์ความคิด : ฟื้นฟูการอ่าน
วันที่ 11-12 กันยายน รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
ในนโยบายทั้งหมด อยากได้ยินนโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริมการอ่าน
เพราะหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลขาดการส่งเสริม ทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง
ทั้งๆ ที่การอ่านมีความสำคัญต่อความก้าวหน้าของประชาชนและประเทศชาติ
และการส่งเสริมการอ่าน ถือเป็นหน้าที่สำคัญของทุกภาคส่วน รวมทั้งรัฐบาล
แต่ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาภารกิจนี้ขาดการสนับสนุน
ทั้งๆ ที่หลายรัฐบาลส่งเสริมมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ รัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2544 ได้แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา
กล่าวถึงการปฏิรูปการศึกษา โดยยึดหลัก สร้างชาติ สร้างคน สร้างงาน
ช่วงนั้นรัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้
ปี 2546 กระทรวงศึกษาธิการประกาศให้เป็นปีแห่งการส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้
ปี 2547 รัฐบาลออกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) เพื่อเป็นแหล่งบริการองค์ความรู้ให้แก่ประชาชน
ปี 2548 รัฐบาลทักษิณแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 23 มีนาคม
ระบุถึงการอ่านว่า 1.รัฐบาลจะส่งเสริมนิสัยรักการอ่านหนังสืออย่างจริงจังตั้งแต่เด็กจนตลอดชีวิต เพื่อรองรับสังคมเศรษฐกิจบนฐานความรู้
2.เร่งสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ในระบบและนอกระบบ ในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่ง เป็นสังคมที่คนมีความสุข สนุกสนานกับการหาประสบการณ์และความรู้
รัฐบาลจะร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อสร้างแหล่งบริการองค์ความรู้ให้กระจายไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศอย่างสอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของท้องถิ่น
และดำเนินการเชื่อมเครือข่ายความรู้ของทุกโรงเรียนเข้าสู่เครือข่ายอินเตอร์เน็ต
สภาพการณ์ดังกล่าว ทำให้ข่าวสารและองค์ความรู้กระจายจากส่วนกลางไปท้องถิ่นโดยผ่านกลไกของภาคเอกชน
ความรู้จากผู้ผลิตหนังสือ ส่งไปยังเอเยนต์ในจังหวัดต่างๆ
เอเยนต์แต่ละแห่งว่าจ้างสายส่งนำหนังสือไปวางที่แผงหนังสือทั้งในเมืองและหมู่บ้าน
ขณะที่ กศน. ซึ่งขณะนี้เป็นกรมส่งเสริมการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้งที่อ่านหนังสือหมู่บ้านเพื่อส่งเสริมการอ่าน
ณ ห้วงเวลานั้น องค์ความรู้หมุนเวียนไปทั่วประเทศ คนที่มีเงินกับคนไม่มีเงิน มีโอกาสได้รับข่าวสารและความรู้เท่ากัน
แต่ภายหลังมีการเปลี่ยนนโยบายด้านงบประมาณ
มีการโอนงบประมาณสนับสนุนที่อ่านหนังสือหมู่บ้านไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ปรากฏว่า ท้องถิ่นติดปัญหาเพราะคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินจับจ้อง จนไม่กล้าซื้อ เกรงจะผิดกฎระเบียบ
ทำให้ที่อ่านหนังสือหมู่บ้านไม่ได้รับการสนับสนุนเหมือนแต่เก่าก่อน
ปี 2559 กศน.ของบประมาณสนับสนุนที่อ่านหนังสือหมู่บ้านในโครงการ บ้านหนังสืออัจฉริยะ เพื่อหล่อเลี้ยงที่อ่านหนังสือหมู่บ้าน
ตอนนั้นที่อ่านหนังสือเหลืออยู่ 4.1 หมื่นแห่ง จากเดิมที่มีเกือบแสนแห่งทั่วประเทศ
แต่งบประมาณก็ไม่ผ่านอีก โดยอ้างว่าเป็นงบซ้ำซ้อนกับที่ให้ท้องถิ่นไปจัดการแล้ว
ที่อ่านหนังสือหมู่บ้านจึงขาดแคลนหนังสือ และค่อยๆ หดหายไป
ปี 2565 ที่อ่านหนังสือหมู่บ้านเปลี่ยนเป็นบ้านหนังสือชุมชน มีจำนวนลดลงเหลือ 2.4 หมื่นแห่ง
ผู้ดูแลบ้านหนังสือชุมชนเป็นอาสาสมัคร
หนังสือในบ้านหนังสือชุมชนใช้วิธีรับบริจาค
ด้านภาคเอกชนถูกเทคโนโลยีดิสรัปต์ เส้นเลือดที่ส่งความรู้จากส่วนกลางสู่ท้องถิ่นถูกตัดขาด
ในพื้นที่จึงมีหนังสือไม่มาก ขณะที่หลายพื้นที่ระบบออนไลน์ไม่ครอบคลุม
บุคลากรที่ส่งเสริมการอ่าน ไม่มีอุปกรณ์ชักชวนให้คนอ่านหนังสือ
นานเข้าเกิดเป็นความเหลื่อมล้ำทางความรู้
คนมีเงินเข้าถึงหนังสือได้ดีกว่า คนในเมืองมีโอกาสมากกว่า
ทั้งๆ ที่คนมีความสำคัญ ความรู้ของคนก็มีความสำคัญ
แต่เรากำลังเกิดความเหลื่อมล้ำทางความรู้ขึ้น
การเพิ่มพูนองค์ความรู้ด้วยหนังสือทั้งที่เป็นเล่มๆ และเป็นออนไลน์ล้วนสำคัญ
จำเป็นที่รัฐบาลต้องส่งเสริมสนับสนุน
ทั้งส่งเสริมการอ่าน ส่งเสริมอาชีพ และเพิ่มพูนทักษะ
วันที่ 11-12 กันยายน คงได้ฟังนโยบายของรัฐบาลทั้งหมด
น่าจะได้ยินนโยบายส่งเสริมการอ่าน การเรียนรู้ และพัฒนาคนด้วย
ถ้ารัฐบาลทำให้คนเข้มแข็ง ทำให้แรงงานมีทักษะเป็นที่ต้องการ เรื่องค่าแรงก็ไร้ปัญหา
ถ้าทั่วแผ่นดิน มีองค์ความรู้ ท้องถิ่นก็เข้มแข็ง
ถ้าท้องถิ่นเข้มแข็ง ส่วนกลางก็จะมีโอกาสหันไปพัฒนาด้านอื่นๆ
แม้ปัจจุบัน รัฐบาลมีเรื่องราวมากมายที่ต้องกระทำ
แต่หากเริ่มต้นฟื้นฟูการอ่าน และส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง
4 ปีหลังจากนี้คงได้เห็นการเปลี่ยนแปลง สมเจตจำนงประชาชนที่ออกไปเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม