คอลัมน์ แท็งก์ความคิด : เผาทุกข์

หลายปีก่อนไปวัดชลประทานรังสฤษดิ์ เพื่อร่วมบำเพ็ญกุศลผู้วายชนม์

วัดแห่งนี้เดิมมี หลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ เป็นเจ้าอาวาส

แม้ภายหลัง หลวงพ่อปัญญาท่านมรณภาพแล้ว แต่พระลูกศิษย์ก็ยังสืบสานเจนตนาของหลวงพ่อต่อไป

งานสวดพระอภิธรรมที่วัดแห่งนี้จึงมีความแตกต่างจากวัดอื่น

Advertisement

กลายเป็นเอกลักษณ์ของวัดชลประทานฯ

นั่นคือ ก่อนจะมีการสวดพระอภิธรรม ต้องฟังธรรมเทศนา 30 นาที

ทุกอย่าง ณ ปัจจุบันยังคงเป็นไปเช่นนี้

Advertisement

ย้อนหลังไปเมื่อหลายปีก่อน เคยนำธรรมเทศนาที่วัดชลประทานฯ เกี่ยวกับปริศนาธรรมเรื่องการจุดธูปมาเขียน

ทบทวนย้อนความได้ว่า การจุดธูป 3 ดอกหน้าพระพุทธนั้น มิได้หมายถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์

หากแต่มีเจตนาให้บูชาพระพุทธเจ้า

หนึ่ง บูชาพระปัญญาคุณ หนึ่ง บูชาพระบริสุทธิกุลหรือพระวิสุทธิคุณ

อีกหนึ่งบูชา พระมหากรุณาธิการของพระพุทธองค์

ส่วนธูป 1 ดอกที่จุดหน้าศพก็มีความหมาย

ธูป 1 ดอก หมายถึง ชีวิตของคน

แต่ละคนมีเพียง 1 ชีวิตเท่ากัน

เมื่อจุดธูป ธูปส่วนที่ถูกเผา หมายถึง ช่วงเวลาที่ชีวิตดำเนินมา

ธูปส่วนที่เหลือ หมายถึง ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของชีวิต

“คนเป็น” ควรคำนึงถึงเวลาที่เหลืออยู่

ควรทำดี ละเว้นทำบาป

นั่นเป็นธรรมที่ได้จากวัดชลประทานฯเมื่อครั้งนั้น

ไม่กี่วันที่ผ่านมา ไปงานสวดพระอภิธรรมผู้วายชนม์อีก

คราวนี้ก็ได้ฟังธรรมเทศนาที่มีปริศนาธรรม

วันฟังสวดพระอภิธรรม พระท่านอธิบายถึงปริศนาธรรมพิธีรดน้ำศพ

พระท่านเริ่มต้นด้วยปุจฉา ทำไมจึงต้องรดน้ำ?

ทำไมต้องรดน้ำที่มือ?

ปุจฉาจบ ก็วิสัชนาต่อ

พระท่านเฉลยว่า การทำเช่นนี้เพื่อให้ผู้มาร่วมงานได้คิด

สุดท้ายของชีวิต ไม่มีใครเอาอะไรไปได้

แม้น้ำสักหยดที่รดลงไปบนมือก็นำไปไม่ได้

“นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา”

พระท่านว่ามาเช่นนี้

ต่อมาอีกไม่กี่วัน ถึงกำหนดเวลาฌาปนกิจ

ก่อนจะถวายผ้าบังสุกุล ได้มีพระธรรมเทศนาอีกครั้ง

ธรรมเทศนาที่ได้ยิน มีเรื่องปริศนาธรรมเพิ่มเติม

เป็นการขยายความสำนวนที่คุ้นหู

“สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่”

สี่คนหาม หมายถึง ธาตุทั้งสี่ ประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ

สามคนแห่ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

หนึ่งคนนั่งแคร่ คือ จิต

จิตนี้มีคำอธิบายขยายให้ฟังว่า จิตมีความสามารถนำเราไปสู่สุคติ หรือทุคติ

พระท่านเทศน์มาถึงตอนนี้ หวนระลึกถึงคำสอนเรื่องขันธ์ 5 ของพระพุทธองค์

คิดถึงหนังสือชื่อ “พุทธธรรม” ที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เขียนอธิบาย

อธิบายเรื่อง รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

อธิบายถึงขันธ์ 5 ที่สัมพันธ์กับอายตนะ 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

อธิบายถึงอานุภาพของจิต

ถ้าจิตรู้จักหลักอริยสัจ 4 ที่พระพุทธองค์สอน

ถ้าจิตมีพรหมวิหารสี่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อย่างที่พระพุทธองค์แนะ

ถ้ารู้จักสำรวจกาย ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต สำรวจวาจา ไม่เพ้อเจ้อ โกหก ส่อเสียด

ถ้าประกอบอาชีพที่สุจริต ไม่ต้มตุ๋นหลอกลวง

ถ้ามีความเพียรในกุศลธรรม มีสติ มีสมาธิ ไม่หลงหลุดเดินไปสู่ทางมัวหมอง

จิตเช่นนี้ย่อมเป็นกุศลและนำทางไปสู่ความสุข

คนเป็นที่มีจิตเช่นนี้ย่อมมีความสุข

คนตายที่มีจิตเช่นนี้ก่อนดับสูญ พระท่านว่าจะไปสู่สุคติ

แต่หากปล่อยให้จิตหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ดำรงอยู่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ที่กล่าวมา

หากปล่อยให้จิตติดยึด จิตมีแต่ความพยาบาท เคียดแค้น โกรธเกลียด มัวเมาในกาม

หากยังเข่นฆ่าผู้คน พูดจาโกหก เพ้อเจ้อ แดกดัน

หากดำรงชีวิตด้วยวิชาโจร ดำรงตนอย่างคนไร้สติ

คิดแต่เรื่องไม่ดีอยู่เนืองๆ

ชีวิตเช่นว่าจะมีความสุขได้อย่างไร

ตอนท้ายของธรรมเทศนาในวันนั้น พระท่านหยิบยืมคำของหลวงพ่อปัญญามาสะกิดคนเป็นให้ระลึกได้

ท่านว่ามางานฌาปนกิจ นอกจากจะเผาศพแล้ว ให้รู้จัก “เผา” ความเศร้าหมองไปด้วย

เผาความเศร้า เผาความโศก เผาความทุกข์ให้หมดไป

แม้การฌาปนกิจต้องใช้ “ไฟ” ในการเผา

แต่วิธีเผาความทุกข์ความเศร้าโศกคงใช้ไฟไม่ได้

การขจัดทุกข์ให้หมด พระท่านแนะนำมาตั้งแต่ขึ้นธรรมาสน์เมื่อวันแรกที่มีพิธีสวดพระอภิธรรม

พระท่านแนะนำตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันฌาปนกิจ

ท่านชี้แนะให้ใช้หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

ใช้พระธรรมในการดับความเศร้าความโศก ความเศร้าหมอง

ใช้หลักธรรมดับความทุกข์

เหมือนดั่งที่พระองค์ทรงทำสำเร็จและแสดงให้โลกได้เห็นมาตลอดระยะเวลากว่า 2 พันปี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image