ที่มา | เดินไปในเงาฝัน มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สาโรจน์ มณีรัตน์ [email protected] |
เผยแพร่ |
จำได้ว่าเคยอ่านหนังสือเรื่อง “ครูแท้แพ้ไม่เป็น” หรือในชื่อภาษาอังกฤษคือ “Real Talk for Teachers” ที่มี “เรฟ เอสควิท” เป็นผู้เขียน
แต่ชักจะจำไม่ได้แล้ว
จึงหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านทวนอีกครั้ง เพราะเห็นใกล้วันครูที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 16 มกราคม นี้ ซึ่ง “เรฟ เอสควิท” นอกจากจะเป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เขายังเป็นครูที่มีบทบาทอย่างมากต่อการให้กำลังใจลูกศิษย์ ผู้ปกครอง และครูจากทั่วโลกด้วย
“เรฟ เอสควิท” มีความเชื่อส่วนตัวไม่กี่อย่างสำหรับการทำหน้าที่ครูที่ดี เพราะนอกจากจะต้องยอมรับเงื่อนไขในการเผชิญอุปสรรคต่างๆ ในการสอนนักเรียน
ยังจะต้องยอมรับความไม่เข้าใจของผู้ปกครอง
สิ่งสำคัญไปกว่านั้นคือนโยบายทางการศึกษาของรัฐบาลขณะนั้น ซึ่งถ้ามองเรื่องการศึกษาไปในทางเดียวกันกับสิ่งที่ครูต้องการ ถือเป็นเรื่องดี
แต่ถ้ามองตรงกันข้าม
มองผิดรูปผิดทาง
ครูผู้ทำหน้าที่สะพานเชื่อมความรู้ไปถึงลูกศิษย์ย่อมบิดเบี้ยวไปด้วย เหมือนอย่างครั้งหนึ่งที่สหรัฐอเมริกาดำเนินทิศทางการศึกษาโดยมุ่งเน้นผลของการประเมิน
“เรฟ เอสควิท” บอกว่าพวกเขากำลังหลงทาง เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของการศึกษาอยู่ที่การเรียนรู้ของศิษย์
ทำอย่างไรให้เด็กเกิดกระบวนการเรียนรู้
ไม่ใช่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ผมว่าเรื่องนี้คล้ายๆ กับการศึกษาของประเทศเรา ที่ยังมองเรื่องผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นสำคัญ และทำท่าว่าน่าจะอีกนานกว่าจะเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับเรื่องกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก
จนบางโรงเรียนหันมาบริหารจัดการเอง เพราะหากขืนปล่อยให้กระทรวงศึกษาฯมอบทิศทาง และนโยบายทางการศึกษาคงอีกนาน
สู้เปลี่ยนจากตัวเองดีกว่า
เพราะเขาเห็นแล้วว่าการสอนหนังสือที่ทำให้เด็กเกิดกระบวนการคิด กระบวนการเรียนรู้ ลองผิด ลองถูก และนำสิ่งที่คิดไปปรับใช้กับการเรียนการสอนจะทำให้นักเรียนมีจินตนาการ
“เรฟ เอสควิท” ใช้วิธีการนี้มาตลอด เพราะเขาเชื่อว่าหัวใจของห้องเรียนจะต้องทำให้นักเรียนมีแรงบันดาลใจ หรือมีแรงจูงใจต่อการเรียน
โดยเฉพาะนักเรียนอายุระหว่าง 8-10 ขวบ
ผลเช่นนี้ จึงทำให้ “เรฟ เอสควิท” จึงชวนนักเรียนรุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต และการทำงานมาเล่าเรื่องราวต่างๆ ของการเรียน การใช้ชีวิต และการเรียนรู้นอกห้องเรียนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับพวกเขา
เพราะเขาเชื่อว่าบุคคลต้นแบบเป็นสิ่งสำคัญ
การสอนแบบไม่สอนลักษณะเช่นนี้จะทำให้นักเรียนจดจำไปอย่างยาวนาน
ลักษณะเดียวกันนี้ “เรฟ เอสควิท” บอกว่าใช้ได้ดีกับนักเรียนระดับมัธยมต้น มัธยมปลาย และนักศึกษาในมหา’ลัยด้วย
เพียงแต่เราต้องหาบุคคลต้นแบบให้เจอ
และหาให้ตรงกับความต้องการของเขา
เพราะอย่าลืมว่าชีวิตวัยเด็กของแต่ละคนมีแบล๊กกราวด์ไม่เหมือนกัน บางคนอยากเป็นทหาร ตำรวจ แพทย์ พยาบาล วิศวกร สถาปนิก และอื่นๆ อีกมากมาย
เราจึงต้องนำคนเหล่านั้นมาบอกเล่าให้ฟังถึงวิธีการเรียนหนังสือ การเรียนรู้นอกตำรา การคิดนอกกรอบ และการใช้ความคิดสร้างสรรค์ให้ตรงกับสิ่งที่ตัวเองต้องการ
“เรฟ เอสควิท” บอกว่ากว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงโลกการศึกษาของสหรัฐอเมริกาได้ ต้องใช้เวลาอย่างยาวนาน แต่กระนั้น เขายอมอดทน และรอคอย
ทำให้เห็น
ไปบรรยาย
เขียนหนังสือ
บทความ
เพื่อบอกในสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเขามีความเชื่อว่าการเป็น “ครูแท้” กับ “ครูเพื่อศิษย์” มีความแตกต่างกัน บางคนดำรงอาชีพครูทั้งชีวิต
แต่ไม่มีจิตวิญญาณแห่งความเป็นครูเลย
กอบโกยแต่ผลประโยชน์เข้าหาตนเอง แสวงหาความร่ำรวยจากผู้ปกครอง และลูกศิษย์ ซ้ำร้ายหนักไปกว่านั้นยังปล่อยให้เงินเข้ามามีอำนาจต่อการจองที่นั่งของนักเรียน
แต่การเป็น “ครูเพื่อศิษย์” ตรงกันข้าม
ทุกอย่างที่สอน ทุกอย่างที่พร่ำบ่น หรือทุกอย่างที่ทุ่มเทออกไป ล้วนเป็นพลังงานแฝงที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา และการเฝ้าแอบมองลูกศิษย์ของตนประสบความสำเร็จไปทีละขั้น
บางครั้ง “ครูเพื่อศิษย์” อาจต้องเข้าไปช่วยเหลือในบางกรณี หากผู้ปกครองของนักเรียนประสบปัญหาอะไรต่างๆ โดยไม่สนใจว่าตัวเองจะต้องเหน็ดเหนื่อยอย่างไร
“เรฟ เอสควิท” ทำเช่นนั้นตลอดมา และทำมาทั้งชีวิต
เขาตื่นเช้าประมาณตีห้ามาโรงเรียนเพื่อเตรียมการสอน และเมื่อนักเรียนทยอยมาโรงเรียน เขาจะเดินออกไปทักทายนักเรียน ผู้ปกครอง และเพื่อนครูบ้าง
ตอนเย็นหลังเลิกเรียน เขาจะสอนพิเศษให้กับนักเรียนบางคนที่ไม่เข้าใจบทเรียน หรือตามเพื่อนไม่ทัน ซึ่งเขาทำอย่างนี้ทุกวัน ทุกปี
ตลอดอายุการทำงาน
จนลูกศิษย์ประสบความสำเร็จในชีวิตหลายคน
และหลายคนนั้นเขียนจดหมายมาหา “เรฟ เอสควิท” ในช่วงวันเกิดของเขาทุกปี เพื่อขอบคุณในสิ่งที่เขาสั่งสอน อบรมลูกศิษย์จนทำให้พวกเขามีวันนี้
วันที่ “ครูเรฟ เอสควิท” ยังทำหน้าที่เป็นสะพานความรู้เพื่อส่งลูกศิษย์ให้ถึงฝั่งฝันกระทั่งจนปัจจุบัน
แล้วครู (บางคน) ของบ้านเราล่ะ
ทำอย่างนี้บ้างหรือเปล่า
ใครรู้ช่วยตอบที