ไม้เท้าตีสุนัข

วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วของงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 44 ที่สำนักพิมพ์มติชนคงต้องขอขอบพระคุณแฟนานุแฟนหนังสือทั่วประเทศที่ให้การสนับสนุนตลอดมา

แม้ยอดขายจะอืดๆ อยู่บ้าง แต่ถ้ามองยอดขายโดยรวม ในท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ก็ทำให้พวกเราในฐานะคนทำงานเบื้องหน้า และเบื้องหลังคงต้องขอขอบพระคุณในน้ำใจไมตรีที่มีให้กันตลอดมา และตลอดไป

ซึ่งเหมือนกับหนังสือเล่มนี้ “ไม้เท้าตีสุนัข 1-2” ที่มี “กัวจิ้งอวี่” เป็นผู้เขียน และมี “เรืองชัย รักศรีอักษร” เป็นผู้แปล หนังสือ 2 เล่มนี้ถือเป็นงานพิมพ์นวนิยายอีกชุดที่สำนักพิมพ์มติชนภูมิใจอย่างมาก

เพราะนอกจากเนื้อหาโดยรวมของเรื่องจะเป็นเรื่องจริง ในช่วงประวัติศาสตร์เหตุการณ์กว่า 100 ปีผ่านมา ระหว่าง 2 สกุลที่เกิดความขัดแย้ง จนทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆ มากมาย

Advertisement

ยังเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ชาติ

ยุคลัทธิจักรวรรดินิยมของประเทศญี่ปุ่นที่เข้ามาทำการรุกรานประเทศจีน โดยเฉพาะใน 3 มณฑลทางภาคอีสาน รวมถึงบ้านเดิมของผู้เขียน จนทำให้ประชาชนคนหนุ่ม-สาวสมัยนั้นต่างผนึกกำลังกันสะบัดธงรุกขึ้นสู้ เพื่อปกป้องแผ่นดินเกิดของตัวเอง

โดยไม่ยี่หระว่าชีวิต และจิตวิญญาณของพวกเขาจะสูญเสียไปเท่าใด

Advertisement

“ไม้เท้าตีสุนัข” เปิดเรื่องถึง “ไต้เทียนหลี่” ทายาทของตระกูลสกุลนา ราชองครักษ์ ผู้ฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เยาว์วัย ซึ่งเขาเกิดพลั้งมือไปฆ่าฝรั่งค้าฝิ่นคนหนึ่งตาย จนต้องลงอาญาจากราชสำนักชิง

“ไต้เทียนหลี่” ต้องหนีจากครอบครัวและคนรัก เพื่อออกจากหมู่บ้านเร่อเหอบ้านเกิด และระหว่างการหลบหนีบังเอิญเขาได้รับสืบทอดไม้เท้าตีสุนัข ซึ่งเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์คู่กายของประมุขพรรคกานจื่อ

อันเป็นสัญลักษณ์ของการปราบความชั่วพิทักษ์ความดี

กล่าวกันว่า 13 ปีให้หลัง เมื่อจีนจัดตั้งรัฐบาลหมินกั๋วสำเร็จ “ไต้เทียนหลี่” กลับมายังหมู่บ้านเร่อเหอ พร้อมกับพบว่าอาจารย์ผู้สอนวรยุทธ์ถูกศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันที่มาจากสกุลไต้ฆ่าตาย

“ไต้เทียนหลี่” แค้นใจอย่างมาก

เขาจึงประกาศศึกกับอดีตศิษย์ร่วมสำนัก ที่ตอนหลังกลายมาเป็นนักเลงอันธพาลประจำท้องถิ่น กอปรกับเขามีใจรักความยุติธรรมเป็นทุนเดิม จึงทำให้เขายื่นมือเข้าแทรกแซงเหตุการณ์บ้านเมือง เพื่อร่วมปราบปรามข้าราชการขี้ฉ้อ

แต่กระนั้น ในเรื่องความแค้นระหว่างสกุลนากับสกุลไต้ก็ยังดำเนินต่อไป

จวบจนกระทั่งลัทธิจักรวรรดินิยมของญี่ปุ่นเริ่มเข้ายึดครองมณฑลต่างๆ ของจีน รวมถึงหมู่บ้านเร่อเหอด้วย “ไต้เทียนลี่” จึงลุกขึ้นต่อสู้ พร้อมกับคนหนุ่ม-สาว และสมาชิกของพรรคกานจื่อ ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของผู้ลี้ภัย และบรรดาขอทานเพื่อช่วยกันผดุงความยุติธรรม

โดยมี “ไต้เทียนหลี่” เป็นแกนนำ

ทั้งๆ ที่ฉากหลังเป็นเหตุการณ์ช่วงที่ญี่ปุ่นยึดครองภาคอีสานของจีน เพื่อทำการจัดตั้งรัฐบาลแมนจูเรีย พร้อมกับรุกลงมาถึงมณฑลเร่อเหอ (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลเหอเป่ย) จนกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเวลาต่อมา

ขณะที่เบื้องหน้ามีศัตรูผู้รุกราน แต่ชาวจีนส่วนหนึ่งกลับเลือกที่จะต่อสู้ โดยอีกส่วนหนึ่งกลับเลือกหาประโยชน์ และร่วมมือกับญี่ปุ่นเพื่อปราบปรามผู้รักชาติ

เพราะฉะนั้น ในส่วนผสมของ “ไม้เท้าตีสุนัข” จึงมีเรื่องราวการทำสงครามต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นผู้รุกราน ที่ดำเนินไปพร้อมๆ กับความขัดแย้งระหว่างครอบครัว บุญคุณ ความรัก และความแค้น

อันเป็นเรื่องราวที่สลับซับซ้อน จนกลายเป็นเสน่ห์ส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ ที่มีเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับบรรพบุรุษของ “กัวจิ้งอวี่” ด้วย

เพราะเขาได้นำเรื่องราวเหล่านี้มาเขียนเป็นบทละครโทรทัศน์ โดยเขาเป็นผู้กำกับการแสดง ทั้งละครโทรทัศน์เรื่องนี้ยังได้รับความนิยมจากผู้ชมอย่างมาก จนทำให้ได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย อาทิ

นักแสดงนำ

นักแสดงสมทบ

บทโทรทัศน์ยอดนิยม

ไม่เว้นแม้แต่ “กัวจิ้งอวี่” ยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมอีกด้วย

ถามว่าทำไม “กัวจิ้งอวี่” ถึงทุ่มเทขนาดนี้?

คำตอบคือทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเรื่องจริง และตัวเอกของเรื่องคือ “ไต้เทียนหลี่” ก็คือทวดของเขานั่นเอง ขณะที่ “หม่าจิ่วจิน” คือตาของเขา

ตาของเขาคนนี้เองที่เป็นคนเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เขาฟังตั้งแต่เด็ก

จนกลายมาเป็น “ไม้เท้าตีสุนัข” เล่มนี้

ที่ไม่เพียงแต่จะเป็นนวนิยายในรูปแบบของบทละคร หากยังเป็นนวนิยายที่ต่างสะท้อนผ่านตัวละครหลัก ตัวละครรอง และตัวละครประกอบอย่างมีอรรถรส

ไม่เว้นแม้แต่ความคิดของตัวละครที่ถูกซ่อนอยู่ในอารมณ์ และความรู้สึกในหลายมิติด้วย

สำคัญกว่านั้นคือภาษาที่ใช้ในการบรรยาย นอกจากจะมีความกระชับ ฉับไว ตรงไป ตรงมา หากคำสนทนาระหว่างตัวละครต่างๆ ยังสะท้อนถึงความรู้สึกที่ถูกปิดซ่อนอยู่ภายในใจอย่างลึกซึ้ง

โดยที่ผู้อ่านๆ แล้วจะไม่รู้สึกเบื่อเลย

แม้หนังสือเล่มนี้จะ 2 เล่มจบก็ตาม

ผมจึงอยากแนะนำผู้อ่านทุกท่านที่เป็นแฟนานุแฟนสำนักพิมพ์มติชน ต้องมิควรพลาดหนังสือเล่มนี้อย่างยิ่ง เพราะทราบข่าวว่าจากราคาเต็ม 2 เล่ม 660 บาท ลดเหลือเพียง 561 บาทเท่านั้น

วันนี้วันสุดท้ายแล้ว

ลองไปหาซื้อดูนะครับ

แล้วคุณจะทราบเองว่าทำไมหนังสือเล่มนี้ถึงคุณภาพคับแก้วจริงๆ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image