เมื่อเราพบเจออะไรสักอย่าง หรือใครสักคน เรารู้สึกมีความสุข ดีใจที่ได้พบ นั่นเป็นเรื่องของเรา สำหรับคนอื่น สิ่งหรือคนที่ทำให้เราดีใจ อาจจะไม่ทำให้เขาดีใจไปด้วย
และในสิ่งหรือคนเดียวกันนั้น เมื่อมาเจอกันอีกที เราอาจจะไม่ดีใจ หรือถึงขั้นไม่อยากเจอไปเลย
นั่นหมายถึงว่า เรื่องความดีใจหรือไม่ดีใจเป็นเรื่องเฉพาะสิ่ง เฉพาะคน และเฉพาะช่วงเวลา
ไม่แน่นอนตายตัว
อารมณ์ความรู้สึกอื่นๆ เช่น โกรธ เกลียด อิจฉา ริษยา หรือปลาบปลื้ม หรืออะไรก็ตาม เหมือนกันคือเป็นเรื่องของแต่ละคนแต่ละช่วงเวลาไม่แน่นอน ตายตัว เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย
ด้วยเหตุนี้เองจึงมีข้อสรุปว่า ในเรื่องอารมณ์ความรู้สึกนั้น เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ เพราะเป็นไปตามเหตุที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
และขนาดว่า ความรู้สึกของเราเองยังไม่มีความแน่นอน ไม่สามารถควบคุมได้
ความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นยิ่งไปกันใหญ่ ไม่เพียงควบคุมไม่ได้ ยังยากที่จะเข้าใจว่าเหตุอะไรทำให้เปลี่ยนไป
ดังนั้น ความทุกข์ที่เกิดจากคนอื่นเปลี่ยนแปลงอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อเรานั้น จึงเป็นเรื่องไม่ควรให้เกิดขึ้น เพราะเราไม่เข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่งว่าต้องเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยที่ไม่เหมือนเดิม และไม่มีใครควบคุมความเปลี่ยนแปลงนั้นได้
นี่คือสัจธรรม
เรื่องน่าเศร้าก็คือ แม้สัจธรรมนี้จะอยู่คู่โลกตลอดมา แต่การยอมรับว่านี่คือความปกติเป็นเรื่องเกิดขึ้นได้ยากในใจคน
สิ่งที่ตามมาจากการฝืนความเป็นปกตินี้ บ่อยครั้งที่รุนแรงถึงขั้นเป็นอาชญากรรม
ทำร้ายหรือถึงขั้นฆ่ากันตาย เพราะทนไม่ได้กับที่คนใดคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่ดีต่อกัน
โดยเฉพาะคนที่เคยเป็นคู่รักกัน เรื่องราวอาชญากรรมเหล่านี้เกิดขึ้นจนกลายเป็นเรื่องปกติ
ทั้งที่ความเป็นปกติควรจะอยู่ที่ “การยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่ควบคุมไม่ได้นั้น”
อาจจะเป็นเพราะรู้ว่าความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ แม้จะเป็นเรื่องปกติ เป็นธรรมชาติที่จะต้องเกิดขึ้น แต่ยากที่ใจคนทั่วไปจะยอมรับ
และการไม่ยอมรับนั้นจะก่อปัญหาขึ้นมา
ทำให้การอยู่ร่วมกันของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องสร้างอะไรต่อมิอะไรมากมาย ด้วยความพยายามที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่เกิดขึ้น หรือแม้จะเกิดขึ้นในใจ แต่ต้องอดทนให้ไม่เกิดขึ้นในชีวิตที่เป็นรูปธรรม
สิ่งต่างๆ ที่มนุษย์พยายามสร้างขึ้นมาเพื่อฝืนความเปลี่ยนแปลงนั้น หลากหลายตั้งแต่ค่านิยม วัฒนธรรม ประเพณี จนถึงการเขียนกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเปลี่ยนแปลง หรือแม้จะเกิดก็ไม่ให้เกิดง่ายๆ ต้องผ่านกระบวนการที่พยายามหยุดยั้งมากมาย
แต่ก็นั่นแหละ แม้ว่าจะพยายามอย่างไร การฝืนความเป็นเป็นจริงว่าสรรพสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย เป็นยาก
การฝืนทนเพื่อรักษาความแน่นอนไว้ ย่อมก่อให้เกิดความอึดอัดคับข้องกับชีวิต และบางทีการหาทางออกให้ความอึดอัดนั้นอาจจะเป็นเรื่องเลวร้าย และเป็นเหตุที่กระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมอย่างที่ว่า
ด้วยเหตุนี้เอง การดำเนินชีวิตอย่างเข้าใจธรรมชาติของชีวิต ว่าที่สุดแล้วไม่ว่าจะเป็นค่านิยม ประเพณี วัฒนธรรม หรือกระทั่งกฎหมาย ก็เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เพื่อให้เป็นเครื่องมือ เป็นอุปกรณ์ให้ยึดถือ ป้องกันความเปลี่ยนแปลงนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องสมมุติ
ไม่ว่าจะด้วยความปรารถนาดี ด้วยความหวังว่าการช่วยกันสร้างความแน่นอน จะเกิดความมั่นคงต่อวิถีชีวิต ซึ่งจะนำมาซึ่งความสุขสงบสักเพียงใดก็ตาม
แต่ที่สุดแล้วทั้งหมดทั้งสิ้นล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์พยายามสร้างขึ้น ขณะที่ธรรมชาติของสรรพสิ่งนั้นคือความเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย
หนทางที่จะรักษาสถานะเดิมไว้ไม่ให้เปลี่ยนแปลงคือ ต้องรักษาเหตุปัจจัยเดิมๆ ไว้ ซึ่งบางครั้งค่านิยม วัฒนธรรม ประเพณี หรือกฎหมายไม่ได้ช่วยรักษาปัจจัยเหล่านี้ไว้
ความสำคัญอยู่ที่เข้าใจเหตุของการเปลี่ยนแปลง และยอมรับว่านั่นเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมชาติของสรรพสิ่ง
ก็คงไม่มีความคิดที่จะไปก่ออาชญากรรมให้ตัวเองและคนอื่นๆ ต้องเดือดร้อน