ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าเอเชี่ยนเกมส์ 2018 ครั้งที่ 18 จาการ์ตา-ปาเล็มบัง ประเทศอินโดนีเซีย ครั้งนี้ดูค่อนข้างจะเงียบเหงา ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร
อาจเป็นเพราะการถ่ายทอดสดครั้งนี้มีเพียง 2 ช่องเท่านั้นคือเวิร์คพอยท์ และพีพีทีวี ซึ่งจากปกติที่ผ่านมาจะใช้โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจทุกช่องสลับหมุนเวียนกันถ่ายทอดสดชนิดกีฬาประเภทต่างๆ
แต่ครั้งนี้จำกัดเพียง 2 ช่องเท่านั้น จึงทำให้ความหลากหลายของเกมกีฬาไม่แพร่กระจายออกสู่วงกว้าง จนทำให้เราๆ ท่านๆ เผลอลืมไปว่าตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงมหกรรมกีฬาเอเชี่ยนเกมส์
หรืออีกอย่างอาจเป็นเพราะทีมฟุตบอลชายของเราตกรอบแรกไปอย่างผิดหวัง จึงทำให้ไม่รู้สึกอยากดูกีฬาชนิดอื่นๆ ทั้งๆ ยังมีอีกหลายชนิดกีฬา ไม่ว่าจะเป็นมวยสากลสมัครเล่น, ยกน้ำหนักหญิง และอื่นๆ ที่เป็นความหวังเหรียญทองของไทย
แต่อย่างที่บอก พอถ่ายทอดสดเพียง 2 ช่อง หรือตามช่องออนไลน์ต่างๆ บ้าง ทำให้รู้สึกว่าเอเชี่ยนเกมส์ 2018 อยู่ไกลเกินตัว
อยู่ไกลจนเอื้อมไม่ถึง
จนทำให้ไม่รู้สึกอยากดู หรือติดตามเลย
ผมไม่รู้ว่าใครคิดเหมือนผมบ้าง แต่เท่าที่พูดคุยกับเพื่อนๆ หลายคน ต่างรู้สึกไปในทำนองเดียวกัน ทั้งๆ ที่มหกรรมกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ 2018 เป็นมหกรรมกีฬาใหญ่ที่สุดในเอเชีย
ทั้งยังมีนักกีฬามาร่วมแข่งขันเป็นจำนวนมาก ไม่นับสต๊าฟ ทีมงาน และกองทัพสื่อมวลชนอีกหลายประเทศที่ต่างเดินทางมาทำข่าวอีกหลายร้อยหลายพันชีวิต
จนทำให้เมืองจาการ์ตา-ปาเล็มบังน่าจะมีความคึกคักอย่างมาก
ถามว่าทำไมผมถึงคิดเช่นนั้น?
คำตอบคือเพราะครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ผมเคยมีโอกาสร่วมทำข่าวมหกรรมกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ 1998 หรือเอเชี่ยนเกมส์ 2541 ครั้งที่ 13 โดยมีกรุงเทพมหานคร ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
ตอนนั้นมีผู้คนเดินทางมามากมาย
โรงแรม ที่พักรอบๆ สนามกีฬาประเภทต่างๆ ถูกจับจองกันอย่างล้นหลาม ไม่นับหมู่บ้านนักกีฬาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ที่ต่างมีนักกีฬาจากประเทศต่างๆ เข้าพักกันอย่างหนาตา
จนทำให้บรรยากาศโดยรอบมหานครกรุงเทพขณะนั้นมีสีสันไม่น้อยทีเดียว
แต่ที่น่าจดจำสำหรับคนทำข่าว คงหนีไม่พ้นการลงพื้นที่ไปเสาะแสวงหาประเด็นต่างๆ เพื่อนำเสนอข่าวแข่งขันกัน เพราะนอกจากจะได้เจอะเจอเพื่อนสื่อมวลชนไทยด้วยกันเอง เรายังมีโอกาสเจอะเจอเพื่อนสื่อมวลชนจากนานาประเทศด้วย
เพราะแต่ละสนามจะมีห้องสื่อมวลชนให้นักข่าวทำงานกัน
จึงทำให้เห็นบรรยากาศการทำงานของสื่อมวลชนแบบครบวงจร
ผมรู้สึกสนุกมากขณะนั้น
ยิ่งในวันพิธีปิดการแข่งขัน เพราะหลังจากมีการส่งมอบธงเอเชี่ยนเกมส์ให้กับประเทศเจ้าภาพถัดไปเสร็จสิ้น ทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาจากประเทศต่างๆ สื่อมวลชน สต๊าฟ ทีมงาน และคณะกรรมการกีฬาจากประเทศต่างๆ ก็ต่างเข้ามาสวมกอดกัน
หลายคนจับมือทักทายเพื่อเจอกันใหม่ในอีก 4 ปีข้างหน้า
หลายคนแลกของที่ระลึกกันเสมือนเป็นเครื่องเตือนใจว่าครั้งหนึ่งเราเคยทำงานร่วมกัน
และหลายคนแลกเสื้อกีฬาประเทศของตนให้กับนักกีฬาที่ตัวเองชื่นชอบ
ผมเห็นแล้วรู้สึกเลยว่ามหกรรมกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ช่างเป็นมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติจริงๆ เพราะทุกคนต่างไม่มีกำแพงใดๆ ขวางกั้น แม้พวกเขาเหล่านั้นจะมาจากต่างชาติ ต่างศาสนา และต่างวัฒนธรรม
แต่เมื่อภารกิจของทุกคนเสร็จสิ้น
ทุกคนคือเพื่อนกัน
ทุกคนมีน้ำใจแห่งความเป็นนักกีฬาที่น่าจดจำอย่างยิ่ง
แม้ตอนนั้นโลกของสื่อมวลชนจะจำกัดอยู่ในวงแคบ ไม่ได้แพร่หลายในโลกออนไลน์อย่างไร้ขีดจำกัดเช่นทุกวันนี้ แต่ทุกคนพร้อมใจกันรายงานข่าวด้วยความคึกคัก
สนุกสนาน
แต่สำหรับมหกรรมกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ 2018 ครั้งที่ 18 จาการ์ตา-ปาเล็มบัง ประเทศอินโดนีเซีย ผมกลับรู้สึกแตกต่าง ทั้งๆ ที่เชื่อว่าหลายเมืองในประเทศอินโดนีเซียคงมีความคึกคักเหมือนครั้งอื่นๆ เช่นกัน
แต่ทำไมการถ่ายทอดสดผ่าน 2 ช่องหลักในเมืองไทย จึงเงียบเหงาอย่างบอกไม่ถูก
ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า
ช่วยบอกที