ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | พันธุ์ทิพย์ ธีระเนตร |
21 เมษายน 2559 ถือเป็นวันสร้างกรุงเทพฯ ครบรอบ 234 ปี ทว่าอุณหภูมิในเกาะรัตนโกสินทร์ยังคงร้อนรุ่ม เมื่อกรณี “ชุมชนป้อมมหากาฬ” ที่ยืดเยื้อมาถึง 24 ปี ยังคงไม่คลี่คลาย โดย กทม.ขีดเส้นตายให้ย้ายออกภายใน 30 เมษายนนี้ เพื่อเคลียร์พื้นที่สำหรับสร้างสวนสาธารณะอันเป็นโครงการที่ผุดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มหานครบางกอก ทว่าถูกคัดค้านทั้งจากชุมชนและนักวิชาการหลากสาขาที่ผนึกกำลังต่อสู้ ด้วยเหตุผลที่ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นชุมชนประวัติศาสตร์ที่มีความเป็นมายาวนาน
กระทั่งครั้งนี้ที่มีผู้มองว่าอาจเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เพราะนอกจากภาครัฐจะเร่งดำเนินการแบบไม่ถอย ยังมีการ “จี้จุดแข็ง” คือการเป็นชุมชนเก่าแก่ที่ใช้เป็นโล่ในการตั้งรับได้ตลอดมา โดยการระบุว่าคำกล่าวอ้างที่ว่านี้ไม่เป็นความจริง เนื่องจากไม่เคยมีชื่อชุมชนป้อมมหากาฬในประวัติศาสตร์ ต่างจากชุมชนอื่นๆ ในเกาะรัตนโกสินทร์ นอกจากนี้ชาวบ้านที่อาศัยในปัจจุบันก็เป็นคนกลุ่มใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ ไม่ได้เป็นคนเก่าแก่ดั้งเดิมแต่อย่างใด
ไม่เพียงเท่านั้นที่อ้างกันว่ามีวิถีชีวิตดั้งเดิม เช่น การทำกรงนกเขา ก็ไม่จริงเช่นกัน เพราะมีเพียงครอบครัวเดียว จึงไม่มีเอี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรมเลย
ประเด็นเหล่านี้ จริงเท็จแค่ไหน มาพิจารณาข้อมูลอีกฝ่ายที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
“ป้อมมหากาฬ” ชื่อใหม่
เดิมคือ “บ้านสาย-ตรอกพระยาเพชร”
เริ่มที่ประเด็นชื่อชุมชนป้อมมหากาฬที่ไม่เคยพบพานในเอกสารโบราณใดๆ ต่างจากบ้านบาตร บ้านดอกไม้ บ้านพานถม ฯลฯ
เรื่องนี้ต้องผายมือไปที่ สุจิตต์ วงษ์เทศ คอลัมนิสต์ด้านประวัติศาสตร์ ผู้มีผลงานมากมายเกี่ยวกับ “กรุงเทพฯ” ซึ่งตอบทันควัน ว่าชื่อชุมชนป้อมมหากาฬจะมีได้อย่างไร เพราะมันเป็นชื่อใหม่ที่เพิ่งเรียกกันภายหลัง แต่เดิมนั้น รู้จักกันในชื่อ “ตรอกพระยาเพชร” เพราะเป็นที่ตั้งของวิกลิเกแห่งแรกในกรุงเทพฯ ยุครัชกาลที่ 5 ของพระยาเพชรปาณี โดยแต่งตัวเลียนแบบละครพันทางของเจ้าคุณมหินทร์ วิกปรินซ์เธียเตอร์ ท่าเตียน แต่แหกคอก นอกกรอบละคร ชาวบ้านจึงนิยมมาก เพราะดูรู้เรื่องและสนุก
นอกจากนี้เมื่อเขยิบออกไปอีกนิด ก็มีชุมชนยุคต้นรัตนโกสินทร์ชื่อว่า “บ้านสาย” เพราะทำสายรัดประคดของพระสงฆ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ต่อเนื่องกัน ชาวบ้านก็เป็นพวกเดียวกันไม่อาจแยกขาดจากกันได้ แล้วจะบอกว่าป้อมมหากาฬไม่ใช่ชุมชนประวัติศาสตร์ได้อย่างไร
“จะมีชื่อชุมชนป้อมมหากาฬในประวัติศาสตร์ได้ยังไง เพราะมันเป็นชื่อใหม่ที่เพิ่งเรียกกัน จะโดยสื่อมวลชนหรือใครก็แล้วแต่ เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจง่าย แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นชุมชนใหม่ เพราะมีหลักฐานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เรียกตรอกพระยาเพชร มีวิกลิเกแห่งแรกในกรุงเทพฯ ของพระยาเพชรปาณี เขยิบไปนิดเดียวเป็นบ้านสาย ชุมชนทำสายรัดประคด อยู่ติดกัน แล้วจะไปแยกกันยังไง จะบอกว่ามีบ้านสาย แต่ตรงป้อมไม่มีชุมชนมันเป็นไปไม่ได้ ตอนเข้ากรุงเทพฯมาเป็นเด็กวัดเมื่อปี 2497 คนบ้านสายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามวัดก็มาใส่บาตรที่วัดเทพธิดารามนี่แหละ” สุจิตต์เล่าอย่างออกรส
โยกย้ายไปๆ มา วัฒนธรรม “รากหญ้า”
แต่ “ชุมชน” ไม่เคยร้าง
มาถึงประเด็นของผู้คนที่มีผู้มองว่าเป็นคนกลุ่มใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ ไม่ใช่ชาวบ้านดั้งเดิม สุจิตต์บอกว่า ตามหลักฐานที่ชี้ชัดว่ามีชุมชนเก่าในป้อมมหากาฬตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นั้น ความจริงน่าจะมีชุมชนมาแล้วอย่างน้อยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 โดยเป็นที่ตั้งบ้านเรือนของชาวบ้าน ข้าพระ เลกวัด โยมสงฆ์ หรือเรียกง่ายๆ ว่า “รากหญ้า” นับแต่นั้นมาก็มีคนโยกย้ายเข้าไปอยู่สืบเนื่องยาวนานไม่ขาดสายจนปัจจุบัน
จะมีคนใหม่ย้ายเข้า คนเก่าย้ายออก ก็ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ สิ่งสำคัญคือเป็นชุมชนที่ไม่เคยร้างต่างหาก
“ย่านนั้นมีชุมชนอยู่มาตั้งแต่โบราณแล้ว แต่ส่วนใหญ่เป็นคนรากหญ้าที่ไปๆ มาๆ มันเป็นธรรมชาติของชุมชนในลักษณะนี้ จะไปเทียบกับผู้ดีในย่านไฮโซที่สร้างบ้านใหญ่โตไม่ได้ ชุมชนแบบนี้ เก่าไปใหม่มา แต่ตัวชุมชนไม่เคยร้าง มีคนอยู่อาศัยตลอด ความไม่เข้าใจ ไม่มีจิตสำนึกเรื่องชุมชน ต้องโทษการศึกษาไทย ที่ไม่มีประวัติศาสตร์สังคม” สุจิตต์กล่าว พร้อมเสนอทางออกว่า กทม.ไม่ควรไล่รื้อชุมชน แต่ควรก่อตั้งมิวเซียมลิเก บอกเล่าเรื่องของวิกพระยาเพชรปาณี สร้างวิกกลางแจ้งให้นักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติได้ชม และให้คนชุมชนป้อมมหากาฬเป็นส่วนหนึ่งของมิวเซียมลิเกอีกด้วย
ป้อมมหากาฬ มีชุมชนอยู่มาตั้งแต่โบราณแล้ว แต่ส่วนใหญ่เป็นคนรากหญ้าที่ไปๆ มาๆ มันเป็นธรรมชาติของชุมชนในลักษณะนี้ จะไปเทียบกับผู้ดีในย่านไฮโซที่สร้างบ้านใหญ่โตไม่ได้ ชุมชนแบบนี้ เก่าไปใหม่มา แต่ตัวชุมชนไม่เคยร้าง มีคนอยู่อาศัยตลอด ความไม่เข้าใจ ไม่มีจิตสำนึกเรื่องชุมชน ต้องโทษการศึกษาไทย ที่ไม่มีประวัติศาสตร์สังคม
ประธานชุมชนยัน อยู่มานาน 111 ปี เคยมี “ตลาดนกเขา”
สำหรับประเด็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างการทำกรงนกเขา ซึ่งถูกกล่าวอ้างว่ามีเพียงครัวเรือนเดียวเท่านั้น
ธวัชชัย วรมหาคุณ ประธานชุมชนป้อมมหากาฬ ยืนยันว่าบ้านที่ทำกรงนกเขาเดิมมีหลายครัวเรือน ทั้งยังเป็นที่ตั้งของ “ตลาดนกเขา” ในพื้นที่ 1 ไร่ 2 งาน โดยมีครอบครัวที่ทำกรงนกเขามากมาย ซึ่งสืบต่อมา 3 ชั่วอายุคน การที่เหลือบ้านทำกรงนกเพียง 1 หลังนั้น เพราะเมื่อ พ.ศ.2546 ทาง กทม.เองได้เป็นผู้ทำลายวัฒนธรรมดังกล่าวลงด้วยการรื้อชุมชนทำเป็นสวนอย่างที่เห็นในปัจจุบัน แล้วเหตุใดในวันนี้กลับนำประเด็นดังกล่าวมาใช้ในเหตุผลที่ว่า มีบ้านทำกรงนกเพียงหลังเดียว จะนับเป็นวิถีวัฒนธรรมได้อย่างไร
“ทำไม กทม.ลืมว่า เมื่อ พ.ศ.2546 ตนเองเป็นผู้ทำลายวัฒนธรรมดังกล่าวลงด้วยการรื้อชุมชนที่ทำบ้านนกเขา แล้วทำเป็นสวน ชาวบ้านที่ทำกรงนกมากมายต้องย้ายออกไป เมื่อปี 2546 จากเดิมเป็นตลาดนกเขา มีร้านขายกรงนก ต้องเหลือแค่บ้านเดียว ก็เพราะถูกสั่งให้ย้ายออกไป โชคดีที่เขาตั้งใจจะอนุรักษ์ภูมิปัญญาไม่ให้สูญหายไปจากการกระทำของ กทม.ในคราวนั้น”
แก้กฎหมาย ปรับเรือนไม้เป็นมิวเซียม
มาถึงมุมมองของสถาปนิกผู้ศึกษาชุมชนแห่งนี้อย่างจริงจัง อันนำมาซึ่งข้อเสนอที่อาจเป็น “ทางออก” ของข้อพิพาทระดับตำนานแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
รศ.ชาตรี ประกิตนนทการ อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร บอกว่า เหตุผลที่ กทม.จะนำพื้นที่ดังกล่าวมาปรับปรุงเป็นสวนสาธารณะนั้น เป็นแนวคิดเมื่อ 40-50 ปีก่อน ที่ต้องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเกาะรัตนโกสินทร์ เช่นเดียวกับการสร้างสวนสันติชัยปราการ ซึ่งในฐานะนักวิชาการไม่เห็นด้วย เพราะป้อมมหากาฬไม่เหมาะสมที่จะเป็นสวนสาธารณะ เนื่องจากมีทางเข้า-ออกเพียงด้านเดียว คือ ส่วนที่ติดถนนตรงข้ามวัดเทพธิดาราม นอกนั้นติดคลอง และตัวป้อมไม่สามารถเข้าออกได้ หากสร้างสวนอาจก่อให้เกิดอันตราย หรือกลายเป็นแหล่งก่ออาชญากรรมได้ง่าย แต่หากจะไม่ดำเนินการก็อาจติดปัญหาที่ข้อกฎหมาย
ชาตรีจึงเสนอทางออกให้ปรับแก้พระราชกฤษฎีกา ซึ่งเขามองว่าทำได้ไม่ยากเลย จากนั้นจึงปรับปรุงเรือนไม้เก่าเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ซึ่งทำการศึกษาไว้อย่างละเอียดผ่าน โครงการวิจัยเพื่อจัดทำแผนแม่บทเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนา ชุมชนบ้านไม้โบราณ “ป้อมมหากาฬ”
“ผมเสนอทางออกคือ ให้ปรับแก้ไขพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้ โดยคณะรัฐมนตรีสามารถดำเนินการได้ หลังจากนั้นควรปรับปรุงพื้นที่เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง เนื่องจากในชุมชนมีเรือนไม้เก่าจำนวนมาก โดยให้ชาวบ้านเป็นลูกจ้างของรัฐดูแลพื้นที่ สามารถอยู่อาศัยได้ แต่ไม่มีกรรมสิทธิ์ และในกรณีที่ชาวบ้านซึ่งมีบ้านหลังอื่นนอกเหนือจากในชุมชน ให้ย้ายออกทันทีหากทำได้จะเป็นกรณีตัวอย่างสำหรับการดำเนินการกับชุมชนอื่นๆ ที่มีปัญหาคล้ายคลึงกัน เพราะการแก้ปัญหาโดยการไล่รื้ออย่างเดียวไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำ”
สังคมได้อะไร เมื่อไล่ “ป้อมมหากาฬ”
ปิดท้ายด้วยข้อสงสัยจาก ศาสตราจารย์ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ ที่บอกว่า ตนมองไม่เห็นว่าหาก กทม.ไล่รื้อชุมชนป้อมมหากาฬออกนอกพื้นที่แล้วสังคมจะได้ประโยชน์อะไร ส่วนตัวมองว่า กทม.ไม่มีสิทธิธรรม เหตุผลต่างๆ ในการไล่รื้อไม่สามารถนำมาอ้างได้ ส่วนชาวบ้านหากผนึกกำลังกัน เชื่อว่าสู้กับภาครัฐได้
“ชาวบ้านก็ต้องสู้ เมื่อสามารถผนึกกำลังกันจริงๆ เชื่อว่าสู้กับภาครัฐได้ ถ้าสู้ก็ชนะ กทม.ไม่มีสิทธิธรรม เหตุผลของเขาอ้างไม่ได้”
นี่คือส่วนหนึ่งของเรื่องราวจากชุมชนป้อมมหากาฬ ที่ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง !
23 เมษายนนี้ มีงาน “สมาพ่อปู่ป้อมมหากาฬ” ซึ่งชุมชนจัดเป็นประจำทุกปี
ปีนี้พิเศษกว่าปีอื่นๆ เพราะใกล้กับเส้นตาย 30 เมษายน ที่ กทม.แจ้งให้ย้ายออก
ถือเป็นการรวมพลคนป้อมมหากาฬ มีกิจกรรมรดน้ำดำหัว พบปะพูดคุยกัน เชิญชวนให้คนที่สนใจในประเด็นป้อมมหากาฬมาร่วมสัมผัสความเป็นตัวตนของชุมชน เข้ามาเรียนรู้ และเปิดใจ