ไม่รู้จริงๆ หรือรู้แต่ทำไม่ได้กันแน่

เวลาเกิดปัญหาขึ้นในชีวิตที่ฟังดูแล้วอาจจะแก้ไขไม่ยากจากสายตาคนอื่น เคยสงสัยไหมคะว่าทำไมเขาแก้ไขกันไม่ได้ เช่น วัยรุ่นถูกเพื่อเอาเปรียบและนินทาว่าร้ายจนทำให้เสียใจ เราก็คิดต่อไปว่าในเมื่อเพื่อนไม่ดีแล้วจะทนคบต่อไปทำไม คำแนะนำเหล่านี้เกิดจากสมมุติฐานว่า “เขาไม่รู้ (ว่าเพื่อนไม่ดี)” ใช่ไหมคะ เราจึงทำตัวเป็นผู้รู้และบอกไป แต่เป็นไปได้ไหมว่า “เขารู้แต่ทำไม่ได้” คือรู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนไม่ดีแบบนี้ต้องเลิกคบแต่ก็ไม่สามารถเลิกคบได้ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เจ้าสักอย่างนั่นล่ะค่ะคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปัญหาชีวิตแก้ไม่ตก และส่วนใหญ่เป็นเรื่อง “อารมณ์”

คุณสุภาพสตรีท่านหนึ่งเครียดมากเพราะไม่พอใจเพื่อนร่วมงาน เธอเป็นคนเก่งและจริงจังกับงานมากจนได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้าแต่มีครั้งหนึ่งที่หัวหน้าตำหนิเพราะเธอลาหยุดในช่วงมีงานด่วนเข้ามาพอดี เธอรู้สึกไม่พอใจนิดหน่อยในตอนแรกด้วยเหตุผลว่าเขียนใบลาล่วงหน้าไว้ตั้งนานแล้ว แต่ต่อมาความไม่พอใจเพิ่มคูณสิบเมื่อเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งลาช่วงเวลาไล่เลี่ยกันแต่กลับไม่ถูกตำหนิ

“รู้นะคะว่าหัวหน้าลำเอียงแบบนี้เพราะเพื่อนคนนั้นเขาเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี แต่เราเป็นคนตรงๆ เลยไม่มีใครชอบ แต่จะให้เปลี่ยนตัวเองเป็นเหมือนเพื่อนคนนั้นที่ยิ้มแย้มตลอดก็ทำไม่ได้”

“ฟังดูเหมือนคุณเลือกจะเป็นคนตรงๆ แข็งๆ แบบนี้มากกว่า”

Advertisement

“ก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ค่ะแต่ไม่รู้จะทำยังไงให้คนอื่นชอบ”

นี่เป็นประโยคมาตรฐานของคนที่ตกอยู่ในความวิตกกังวลแล้วหาทางออกไม่ได้ค่ะ ประเด็นคือรู้ทั้งรู้ว่าถ้าทำบางอย่างแล้วชีวิตจะดีขึ้นแต่ทำไม่ได้ เราจะไม่ด่วนสรุปนะคะว่าการทำแบบเพื่อนแล้วจะทำให้ชีวิตดีขึ้นเพราะที่จริงมีหลายวิธีมากกว่านั้น เช่น ยอมรับและภูมิใจในความเป็นคนตรงๆ แบบเธอที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย หรือยอมรับว่าหัวหน้าอาจจะตำหนิบางครั้งแต่ได้รับคำชมเป็นสัดส่วนมากกว่า หรือลองทำตามเพื่อนเฉพาะบางอย่างเช่นการยิ้มแย้มเสมอโดยไม่ถึงกับเปลี่ยนตัวเองให้เหมือนเพื่อน จะเห็นว่าแท้จริงไม่ใช่ “รู้แต่ทำไม่ได้” ค่ะ เธอ “ไม่รู้” ว่ามีทางเลือกอื่นให้ชีวิตต่างหาก

แอนิเมชั่น “The Anthem of the Heart” ซึ่งฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อปลายปี 2015 และทำรายได้ถึง 8.5 ล้านดอลลาร์ในญี่ปุ่นนำเสนอปัญหาง่ายๆ ที่ใครก็คิดว่าแก้ไม่ยากเช่น “การพูด” แต่น่าสงสัยว่าทำไมจึงทำไม่ได้ เรื่องนี้กล่าวถึงนักเรียนมัธยม 4 คน นางเอก “นารุเสะ” เด็กสาวที่เคยพูดมากเหมือนผีเจาะปาก วันหนึ่งตอนประถมเธอเห็นพ่อขับรถออกมาจากปราสาทเทพนิยายกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เธอตื่นเต้นมากจึงเล่าให้แม่ฟังส่งผลให้พ่อกับแม่เธอต้องหย่ากันเพราะปราสาทแห่งนั้นคือโรงแรมม่านรูด พ่อกับแม่กล่าวโทษความพูดมากของเธอจนทำให้นารุเสะแทบจะไม่พูดอีกเลยนับแต่นั้น เธอเป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่ไม่รู้จริงๆ ว่าการพูดของเธอไม่ได้เกี่ยวกับหายนะของพ่อแม่ ที่พ่อแม่หย่ากันเพราะพ่อนอกใจต่างหากไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนพูดมาก เพื่อนอีก 3 คนที่ร่วมกันทำกิจกรรมละครเพลงของโรงเรียนไม่รู้ว่าทำไมนารุเสะไม่พูดค่ะ ในเรื่องมีแค่แม่ของนารุเสะคนเดียวเท่านั้นที่ระเบิดอารมณ์ออกมาและถามว่าทำไมลูกสาวของเธอถึงไม่พูดจนชาวบ้านเอาไปนินทากันหมดแล้ว เราเห็นความโกรธของคุณแม่ที่ส่งผ่านมาถึงผู้ชมแต่เพื่อนอีก 3 คนก็อธิบายว่าถึงนารุเสะไม่พูดออกมาแต่เธอมีคำพูดในใจมากมาย อยากให้คุณแม่ลองตั้งใจฟังดูบ้าง

Advertisement

คุณแม่เข้าใจว่านารุเสะ “รู้ว่าต้องพูดแต่ไม่พูด” ซึ่งชวนให้โมโหมาก ส่วนนารุเสะ “ไม่รู้ว่าควรพูด” เพราะเธอรู้แค่ว่าพูดแล้วหายนะซึ่งทำให้เธอทุกข์มากไม่ต่างจากคุณแม่ แต่เพื่อนคนอื่นๆ เชื่อว่านารุเสะ “อยากพูดแต่พูดไม่ได้” ด้วยเหตุผลบางอย่างและช่วยให้เธอได้สื่อความรู้สึกออกมาผ่านทางเสียงเพลงแทน ไม่ใช้วิธีเดียวกับคุณแม่ซึ่งต่อว่าและบังคับให้พูดทั้งที่เธอไม่กล้าพูด โดยสรุปแอนิเมชั่นสื่อให้เราเห็นนารุเสะกับคุณแม่ที่ตกอยู่ในวงกตของอารมณ์จนหาทางออกให้ปัญหาได้ เพื่อนคนอื่นเสียอีกที่มองอย่างเห็นอกเห็นใจจนนำมาซึ่งปัญญาและทางออกของปัญหาในที่สุด

อารมณ์มีผลต่อการเลือกทำหรือไม่ทำของเรามากกว่าที่คิดค่ะ งานวิจัยจากเคมบริดจ์บอกเราว่าคนอ้วนไม่ใช่ไม่รู้ว่าอาหารแบบไหนไม่ดีต่อสุขภาพ พวกเขารู้ค่ะแต่ทำไม่ได้ที่จะไม่กินอาหารที่ทำให้อ้วนยิ่งขึ้น ผู้วิจัยให้อาสาสมัครผอม 23 คน และน้ำหนักเกิน 40 คน ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับภาพอาหารบนหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วให้เลือกว่าอาหารนี้ดีต่อสุขภาพและอร่อยเป็นคะแนนเท่าไร ปรากฏว่าทั้งสองกลุ่มตอบได้ไม่ต่างกันค่ะ ความแตกต่างระหว่างสองกลุ่มมาปรากฏชัดเจนตอนลงมือกินอาหารจริงๆ เพราะกลุ่มคนผอมสามารถกินอาหารที่ตัวเองเลือกว่าทั้งดีต่อสุขภาพและอร่อยได้ ส่วนคนอ้วนแม้จะเลือกเมนูอาหารที่ทั้งดีต่อสุขภาพและอร่อยไว้แล้วแต่พอเจออาหารจริงวางอยู่ตรงหน้าก็อดใจไม่ได้ที่จะเลือกกินของที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ผู้วิจัยจึงเชื่อว่าการควบคุมน้ำหนักสำหรับคนอ้วนคงแค่ให้ความรู้ไม่ได้แล้วแต่ต้องช่วยให้ควบคุมอารมณ์ไม่หุนหันพลันแล่นเมื่อมีอาหารจริงๆ มาอยู่ตรงหน้าด้วย

คนมีปัญหาที่แก้ไม่ตกเพราะคิดว่าฉันคงทำไม่ได้น่าจะลองใช้หลักการนี้ค่ะ นั่งคิดเฉยๆ ไม่มีประโยชน์ ลงไปเจอของจริงเลยดีกว่าค่ะ ทำสิ่งที่คิดว่าทำไม่ได้เสียก่อนก็จะรู้เองว่าสิ่งที่ทำช่วยแก้ปัญหาได้จริงหรือเปล่า

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image