หากชีวิตปรารถนา “ความโปร่งใจ”
เมื่อชีวิตต้องเผชิญกับสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง
ท่าทีของมนุษย์เราต่อสถานการณ์นั้นจะมี 2 แบบใหญ่คือ
หนึ่ง รับมือสถานการณ์นั้นด้วยความคิดอย่างใดอย่างหนึ่ง
สอง รับรู้ในสถานการณ์นั้นโดยยังไม่เริ่มที่จะคิดอะไร เป็นการรับรู้แบบแค่เห็นว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร แบบไหน
ในแบบที่หนึ่งนั้น ทันทีที่เผชิญกับเรื่องราวหนึ่งๆ ความคิดเกิดขึ้นก่อนแล้ว
ความคิดแบบนี้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ครั้งก่อนๆ ที่ประมวลออกมาว่าสถานการณ์แบบนี้จะต้องรับมือแบบนี้ หรือความคิดที่เกิดจากความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ เกลียดชัง หรือรักใคร่ อิจฉา หรือชื่นชมยินดี
อารมณ์ต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นและนำให้เกิดความคิดว่าจะจัดการเรื่องราวนั้นให้เพื่อสนองอารมณ์อย่างไร
ความคิดทำให้เกิดการพูด และการลงมือจัดการให้เป็นไปอย่างที่คิด
การรับมือแบบนี้ผลที่ออกมาจะไม่คำนึงถึงว่าถูกหรือผิด เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม แต่เป็นการตัดสินกันที่อารมณ์ความรู้สึกของตนหรือไม่ หรือหากจะถูกก็ถูกในความหมายที่ตัวเองให้ค่า เหมาะสมในทางที่ตัวเองพอใจ ไม่เกี่ยวกับความพอใจของคนอื่น หรือส่วนรวม
เป็นการจัดการไปตามความต้องการของอารมณ์ความรู้สึกที่มาครอบงำไว้แต่ต้น
ส่วนแบบที่สอง ไม่ได้เริ่มที่ความคิด แต่เริ่มที่การรับรู้ว่าเรื่องราวนั้นเป็นอย่างไร มีองค์ประกอบอย่างไร เห็นตามที่เป็นจริงก่อน
จากนั้นค่อยเริ่มที่จะใคร่ครวญว่าจะจัดการให้ผลเป็นแบบไหน และหากจะให้เป็นเช่นนั้น มีวิธีการอย่างไร จะต้องใช้อะไรบ้างในการทำให้เป็นเช่นนั้น เช่น ด้วยวิธีแบบนี้ใครถนัด และต้องมีเครื่องไม้เครื่องมืออย่างไรบ้าง
ผลที่ออกมาเป็นไปได้ทั้งประโยชน์กับตัวเอง หรือเป็นประโยชน์กับส่วนรวม
ถูกต้อง เหมาะสมตามเป้าหมายที่วางไว้ เป็นการจัดการโดยที่ไม่ให้อารมณ์ ความรู้สึกส่วนตัวมาครอบงำ
หากเห็นกระบวนการจัดการสถานการณ์ 2 แบบนี้ย่อมรู้สึกว่าการจัดการแบบที่สอง น่าจะดูรอบคอบและน่านำมาใช้มากกว่า
ทว่ากลับไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเลือกใช้การจัดการแบบที่สอง
เพราะเป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชนที่จะจัดการตามความเคยชินที่สะสมมา
และคนเราส่วนใหญ่มีความเคยชินกับการถูกอารมณ์ความรู้สึกครอบงำ
ไม่สามารถเริ่มต้นด้วย “ใจโปร่ง” คือ “โล่งจากอารมณ์ความรู้สึกได้”
แม้จะตระหนักได้ว่า “การจัดการด้วยความคิดที่ถูกครอบงำด้วยความรู้สึก” นั้นทำให้ไม่เป็นอิสระ ส่งให้ผลที่เกิดขึ้นเบี่ยงเบนไปจากที่ควรจะเป็น
สนองความ “อยากให้เป็น” แทนที่จะไปในทางที่ “ควรจะเป็น”
แต่การบังคับตัวเองไม่ให้จัดการโดยถูกครอบงำนี้ เป็นเรื่องที่จะต้องฝึก
และฝึกอย่างจริงจัง จนถึงขั้นมีจิตที่พร้อมจะละทิ้งความเคยชินนั้นได้
แต่รู้ว่าควรจะเป็นอย่างไร
แค่คิดได้ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
ไม่พอ
จะต้องฝึกให้ตัวเองมีภาวะ “ใจโปร่ง”
และแน่วแน่จนสามารถเลือกได้ว่าจะใช้อะไรบ้าง จัดการกับเรื่องนั้นๆ ให้ได้ผลตามที่เห็นแล้วว่าควรจะเป็นอย่างไร ด้วยวิธีการแบบไหน
และนั่นจึงจะจัดการอย่าง “โปร่งใจ” ได้