ที่มา | คอลัมน์ จิปาถะ มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | ส.พลายน้อย |
เล่าเรื่องหนุมานตามทรรศนะของคนอินเดียมาแล้ว ก็ควรเล่าเรื่องหนุมานตามทรรศนะของคนไทยบ้าง ว่ามีอะไรต่างกันหรือคล้ายกัน เพื่อเป็นการเปรียบเทียบ อาจมีประโยชน์อยู่บ้าง
ผู้เขียนไม่ทราบว่าพวกพราหมณ์นำเรื่องรามายณะมาเล่าให้คนไทยฟังตั้งแต่เมื่อไร แต่คนไทยครั้งสุโขทัยรู้จักเทวดาเป็นอย่างดี เพราะมีเทวรูปพระอิศวร พระนารายณ์องค์ใหญ่เป็นหลักฐานทางโบราณคดีได้ และน่าจะรู้เรื่องรามายณะมาบ้างแล้ว เพราะมีรูปหนุมานสลักหินที่ปราสาทหินพิมายอยู่รูปหนึ่ง คงจะเอาแบบอย่างมาจากเขมร เพราะที่บันทายสเร (Banteai Srei)
มีรูปหนุมานสลักหินเป็นรูปคน มือเท้าแบบคน ใบหน้าเป็นวานร เข้าใจว่าถ่ายแบบมาจากอินเดีย คือ มีตุ้มหูใหญ่ สวมมงกุฎ และที่หางนาครูปหินชักนาคกวนเกษียรสมุทรก็ว่ามีรูปหนุมานอยู่ด้วย สรุปว่าที่นครวัดมีทั้งเรื่องมหาภารตะและรามายณะ
รามเกียรติ์ของไทยกำหนดรูปร่างของหนุมานให้เป็นลิง ฉะนั้นกิริยาอาการต่างๆ ก็ต้องเป็นแบบลิงไปด้วย เช่น จะต้องแสดงอาการหลุกหลิก มีการเกา เป็นต้น
การเกาของหนุมานจึงกำหนดว่าต้องหงายมือให้เหมือนมนุษย์ (เพราะร่างกายเป็นคน พูดภาษาคน) ถ้าคว่ำมือก็เป็นอาการของสัตว์สี่เท้า แต่สัญชาตญาณของลิงที่เคยใช้ทั้งมือและเท้า ก็ชอบเอาเท้าเกาบ้าง หนุมานก็เคยทำ ตามเรื่องว่า เมื่อครั้งหนุมานได้ครองเมือง วันหนึ่งหนุมานออกไปชมสวน เห็นมะม่วงออกผลงามก็นึกสนุก เก็บมะม่วงมาให้พวกสนมกำนัล เผอิญยางมะม่วงหยดลงที่ศีรษะทำให้คัน หนุมานไม่ทันคิดและด้วยความเคยชิน หนุมานก็ยกเท้าขึ้นเกา ทำให้พวกสาวๆ ชาววังพากันหัวเราะอย่างขบขัน หนุมานรู้สึกตัวว่าทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรก็มีความละอาย จึงถวายราชสมบัติคืนกลับไปอยู่กับธรรมชาติสบายใจดีกว่า
ในสมัยโบราณไม่ปรากฏว่าไทยสร้างรูปหนุมานไว้โดดๆ อย่างเขมรหรือเนปาล ไม่มีการบูชารูปหนุมานอย่างเทวรูป ทั้งๆ ที่เราเชื่อในฤทธิ์เดชของหนุมาน เช่น นิยมสักยันตร์รูปหนุมาน หรือสักรูปลิงลม เมื่อครั้งผู้เขียนอยู่ในวัยรุ่นเพื่อนคนหนึ่งมาชวนสักลิงลม เขาว่าต้องสักคู่ คือสักที่สะโพกคนละตัว ตามที่เขาอธิบายดูน่าเลื่อมใส เขาว่าถ้าสักแล้วมีเหตุถูกตีล้มลงก็ไม่ต้องกลัว เมื่อถูกตีซ้ำจะลุกติดไม้ขึ้นมาทันที
แต่ผู้เขียนไม่ใช่นักเลง ไม่เคยไปตีรันฟันแทงกับใครก็กลัวเจ็บสองหน หรือถ้าเขาไม่ตีซ้ำก็จะลุกไม่ขึ้นนอนสลบอยู่อย่างนั้น ตกลงไม่ได้ไปสัก ยอมเป็นคนแก่ที่ไม่มีฤทธิ์เดชมาจนทุกวันนี้