ที่มา | คอลัมน์ เดินไปในเงาฝัน มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สาโรจน์ มณีรัตน์ |
ผมมีความรู้สึกว่ามหา”ลัยของรัฐจำเป็นต้องปรับตัว จะมัวแต่ภูมิใจกับคณะพระเอก นางเอกที่ใครๆอยากเข้ามาเรียนเหมือนอย่างเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้ว
เพราะเรื่องการศึกษาท้ายที่สุดก็ไม่พ้นเรื่องการแข่งขัน
ซึ่งมีธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง
ผมเคยคุยกับนักวิชาการบางคนบอกว่าตอนนี้มหา”ลัยของรัฐบางแห่งกำลังกินบุญเก่า โดยเฉพาะมหา”ลัยท็อปทรีทั้งหลาย เพราะเขาเชื่อว่าแบรนด์ของเขาแข็งแรง
แบรนด์ของเขาเป็นแบรนด์หรู
ที่เมื่อนักเรียนสอบเข้าได้จะรู้สึกภูมิใจทั้งแก่ตัวเอง และวงศ์ตระกูล ซึ่งผ่านมาในอดีตจนถึงปัจจุบันผมก็ยังเชื่อว่าความคิดเหล่านี้ยังดำรงอยู่คงอยู่
แต่อนาคตผมไม่แน่ใจ
เพราะอย่าลืมว่ามหา”ลัยของรัฐแต่ละแห่งมีคณะพระเอก นางเอกที่คนอยากเรียนจริงๆ เพียงไม่กี่คณะ ที่เหลือเรียนเพื่อให้ได้ชื่อว่าฉันอยู่มหา”ลัยนี้
ฉันสอบเข้าได้แล้วนะ
แต่เมื่อเรียนจบแล้วจะนำความรู้อะไรไปทำมาหากินยังไม่รู้เลย ซึ่งผมคิดว่านิสิต นักศึกษาหลายคนยังอยู่ในวังวนเช่นนี้
และน่าจะอยู่ไปอีกเรื่อยๆ
เพราะระบบการศึกษาของบ้านเราสอนแต่ในตำรา ไม่ได้สอนเรื่องการใช้ชีวิต และการคิดแบบรวบยอด ท้ายที่สุด เมื่อเขาเติบโตขึ้นจึงมองมุมที่แตกต่างไม่เป็น
เรื่องนี้เป็นปัญหาหนึ่งเมื่อเขาเข้าไปอยู่ในโลกแห่งการทำงาน
สิ่งสำคัญอีกอย่าง หลายคนยังเชื่อว่าค่าหน่วยกิตของมหา”ลัยของรัฐถูกกว่ามหา”ลัยเอกชน ซึ่งภาพรวมอาจถูกกว่าจริงๆ แต่บางคณะไม่ได้ถูกเลย บางทีอาจแพงกว่ามหา”ลัยเอกชนด้วยซ้ำ
เพราะเขานอกระบบไปแล้ว
เขามีสิทธิในการบริหารจัดการคณะของตัวเอง โดยเฉพาะกับคณะพระเอก นางเอกอย่างที่คนอยากเรียนมากที่สุด แต่ต้องมาติดปัญหาที่ว่าค่าเทอมแพง
ไม่มีปัญญาเรียน
พ่อแม่ส่งไม่ไหว
ท้ายที่สุดจึงต้องกู้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา
ผลตรงนี้ จึงทำให้นักเรียนหลายคนเลือกเรียนมหา”ลัยเปิดอย่างรามคำแหง กับสุโขทัย แต่ก็อย่างที่บอกบางทีก็ไม่มีคณะที่เขาอยากเรียนจริงๆ
ท้ายที่สุดจึงเรียนๆไปเพื่อให้ขึ้นชื่อว่าจบปริญญาตรีแล้ว
ช่องว่างตรงนี้เองที่ทำให้มหา”ลัยเอกชนเลือกเปิดคณะที่นักเรียนสนใจ และคิดว่าน่าจะเป็นคณะที่คนอยากเรียนมากที่สุด เพราะเขารู้ว่าเมื่อเรียนไปแล้วจะไปต่อยอดอะไรได้อีก
โดยเฉพาะกับครอบครัวที่ทำธุรกิจ
มีการค้าเป็นของตัวเอง
หรือมีเป้าหมายในอนาคตที่จะไปเรียนหนังสือต่อเมืองนอก เพราะระบบการศึกษาของมหา”ลัยเอกชนบางแห่งสอนเพื่อสร้างคนไปทำงานด้านนั้นๆ
สอนเพื่อผลิตคนเข้าสู่สายงานเฉพาะ
ยิ่งโลกในปัจจุบันขับเคลื่อนกันอย่างไร้พรมแดนด้วย ภาษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ มหา”ลัยเอกชนบางแห่งจึงจัดตั้งวิทยาลัยนานาชาติขึ้นมา
เพราะเขามองเห็นโอกาสทางธุรกิจ
เพื่อรองรับลูกหลานคนต่างชาติที่เข้ามาทำงานในเมืองไทย หรือเพื่อรองรับลูกหลานของนักธุรกิจอาเซียนที่ต้องการส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนในเมืองไทย
เพราะเชื่อว่าการศึกษาของบ้านเรามีความเป็นเลิศ ถูกกว่าสิงคโปร์ สำคัญไปกว่านั้น เขาต้องการให้ลูกหลานของเขามีคอนเน็กชั่นในเมืองไทย พูดภาษาไทยได้ เพราะเขามีธุรกิจที่ทำอยู่ในเมืองไทย
เสมือนเป็นการต่อยอดธุรกิจไปในตัว
ซึ่งมุมมองเชิงธุรกิจของมหา”ลัยเอกชนที่ไม่หยุดอยู่เฉพาะแค่ตลาดในประเทศนี่เอง จึงทำให้ผู้บริหารของมหา”ลัยเอกชนเริ่มหันไปตลาดในต่างประเทศ
โดยเฉพาะกับตลาดอาเซียน
เพราะหลังจากเปิดประชาคมอาเซียนเมื่อปลายปี”58 ผ่านมา เขามีความเชื่อว่านักเรียน นิสิต นักศึกษาของประเทศเหล่านี้สนใจเรียนสาขาต่างๆ ของประเทศไทย โดยเฉพาะสาขาการบริหารจัดการการท่องเที่ยว โรงแรม และรีสอร์ต
บริหารธุรกิจและอื่นๆ
ผู้บริหารของมหา”ลัยเอกชนบางแห่งจึงแต่งตั้งผู้แทนของมหา”ลัยเข้าไปเป็นเอเยนต์เพื่อเปิดตลาดในประเทศเหล่านี้ บางแห่งเปิดสำนักงานสาขา
บางแห่งใช้ความร่วมมือกับสภาหอการค้ากับประเทศต่างๆ จัดทำโครงการเอ็มบีเอเพื่อสอนให้กับนักธุรกิจของประเทศนั้นๆ ขณะเดียวกัน ยังมีแผนเปิดหลักสูตรปริญญาตรี และโทที่ประเทศเหล่านั้นด้วย
เพราะเขามองเห็นปัญหาอย่างหนึ่งที่เกิดจากตลาดในประเทศเริ่มอิ่มตัว เนื่องจากประชากรในแต่ละครอบครัวมีจำนวนน้อยลง เฉลี่ยครอบครัวหนึ่งมีลูกเพียงหนึ่งถึงสองคนเท่านั้น
ดังนั้น หากเขาไม่ไปเปิดตลาดในต่างประเทศเสียแต่วันนี้ จะเสียโอกาสทางธุรกิจได้ ซึ่งผมลองค้นตัวเลขเล่นๆ จากข่าวที่ลงเกี่ยวกับอัตราค่าเล่าเรียนของนักศึกษาต่างชาติที่จะมาเรียนในเมืองไทย และประเทศของเขาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 90,000-175,000 บาทต่อปี
แต่เมื่อดูตัวเลขรวมของตลาดนักศึกษาต่างชาติกลับพบว่ามีสูงถึงเกือบสี่หมื่นล้านบาทที่หลายมหา”ลัยเอกชนกำลังจ้องหยิบชิ้นปลามันกัน
ผมไม่รู้ว่าผู้บริหารมหา”ลัยของรัฐคิดอย่างไรกับการที่มหา”ลัยเอกชนปรับโมดูลธุรกิจเช่นนี้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เราเห็นความจริงอย่างหนึ่งว่า?เขาพยายามออกไปจับปลาที่อื่น เพราะปลาในบ้านเราเหลือน้อยเต็มทีแล้ว
จะมามัวแย่งกันอยู่ทำไม
ทำไมไม่ปรับปรุงหลักสูตร สร้างคณะต่างๆ ให้รองรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อให้สอดรับกับตลาดงานโดยรวม เพราะถ้าขืนภูมิใจกับคณะพระเอก นางเอกเพียงไม่กี่คณะ
แล้วต่อไปเราจะผลิตคนคุณภาพออกมาได้อย่างไร
เพราะโลกตอนนี้มันเปลี่ยนแปลงกันทุกวินาที
เราจึงต้องหมุนตามโลกให้ทัน ?