โลกที่เคลื่อนมาถึงยุคที่ “โค้ชอารมณ์” เป็นอาชีพทำเงิน
มีคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยที่พยายามนำเสนอตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจัดการเรื่อง “ปลดล็อกอารมณ์”
ว่ากันให้ง่ายๆ คือ “ปลดจากอารมณ์ที่จมอยู่ในความเศร้า มาสู่ความสุข”
โลกยุคนี้ได้ยินเรื่องราวของคนรู้จักมักคุ้น เป็น “โรคซึมเศร้า” กันมากขึ้น
ชีวิตที่เคร่งเครียดของคนไทยเราทำให้ภาพของ “สยามเมืองยิ้ม” ถูกลบเลือนไปจากความทรงจำและกล่าวขานถึง
คำตอบสำเร็จรูปจาก “โค้ชชิ่ง” ทั้งหลายคือ “ความซึมเศร้าเป็นอาการของคนที่มองโลกในแง่ร้าย”
และการแก้ไขหรือเยียวยาคือจัดการให้มีความคิดในทางตรงกันข้าม หรือ “มองโลกในแง่ดี”
เมื่อ “มองโลกในแง่ดี” ได้ ชีวิตก็จะพ้นจากความทุกข์โศก มาเป็นอยู่ในความรื่นรมย์
โลกจะหายจากหม่นมัวมาเป็น “โลกที่สวยงาม”
ความน่าสนใจอยู่ที่การปรับมุมมองสู่ “โลกสวย” นั้น เป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดจริงหรือ
แน่นอนว่าคนที่มองเห็นและรู้สึกแต่ความเลวร้ายของสิ่งต่างๆ รวมถึงผู้คนรอบข้าง โลกของเขาย่อมเป็นความหม่นมัว และบีบคั้นอารมณ์ให้เศร้าหมอง
สำหรับคนที่ตั้งจิตไว้ให้มองโลกในแง่ดี เห็นแต่ความงดงาม และดีเยี่ยมของคนรอบข้าง ซึ่งแน่นอนว่าโลกของเขาช่างน่ารื่นรมย์
แต่ความรื่นรมย์ที่เกิดจากการปรับมุมมองให้สัมผัสแต่ความสุขเช่นนั้นจะต่างอะไรกับการสะกดจิตตัวเองให้มองเห็นแต่ภาพที่ดีงาม
ย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่ใครสักคนจะทำเช่นนี้ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็สามารถสะกดความคิดตัวเองให้เลือกได้ว่าให้มองเฉพาะในแง่ดี ปิดอารมณ์ความรู้สึกที่จะทำให้เห็นในแง่ร้ายเสีย
และหากใครสักคนไปไกลกว่านั้น ไม่เพียงจัดการให้ตัวเองมองโลกเฉพาะในแง่ดีได้เท่านั้น แต่ยังช่วยสงเคราะห์สะกดจิตคนอื่นที่ทำไม่ได้ ให้ปรับมุมมองจากการเห็นโลกในมุมที่หม่นเศร้า มาเป็นโลกสวยงาม ยิ่งยอดเยี่ยม
บรรดา “โค้ชชิ่ง” ทั้งหลาย ดูจะพยายามพรีเซ็นต์ตัวเองให้เกิดความเชื่อว่ามีความรู้ความสามารถ มีวิชาที่จะทำเช่นนั้นได้
ในโลกที่มากมายด้วย “คนเศร้า” เช่นนี้ “โค้ชชิ่ง” ที่สามารถสะกดจิตให้ผู้เข้ารับการเยียวยาพ้นจากความหมองหม่นนั้นได้ ย่อมเป็นที่ปรารถนาของผู้คนในยุคปัจจุบันที่จะเข้าใช้บริการ
แต่อย่างว่าการสะกดจิตก็คือการสะกดจิต
จิตที่ถูกสะกดนั้นอยู่ในความสุขได้ไม่ตลอดไป
เมื่อพลังที่สะกดให้มองโลกในมุมบวกอ่อนแรงลง หรือหมดไป สภาวะจิตก็กลับสู่สภาพเติม
มุมมองต่อโลกเป็นไปตามความเคยชินที่สะสมมา
การสะกดให้มองในมุมบวก ก็ไม่ต่างอะไรกับความบันเทิงเริงรมย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง หรือพาชีวิตไปเสพความเพลิดเพลินต่างๆ ให้ลืมความเป็นไปของชีวิตประจำวันไปชั่วขณะ
หมดเวลาของความบันเทิงก็กลับมาสู่ชีวิตที่ต้องดำเนินไปตามปกติเหมือนเดิม
หาก “หม่นเศร้า” กับความเป็นปกติของชีวิต
ความหม่นเศร้าก็กลับมาอีกหลังพ้นจากการถูกสะกดจิต
กลายเป็นว่าการเยียวยาแบบนั้น ไม่ต่างอะไรกับคนที่ไปพักผ่อนหย่อนใจในสถานบันเทิง ให้ลืมความเป็นจริงของชีวิตไปชั่วขณะ
เหมือนกับ “เมาให้ลืมทุกข์”
การจะทำให้ชีวิตพ้นจากความเศร้าหมองได้อย่างแท้จริงนั้น
เป็นเรื่องของการทำความเข้าใจชีวิตตามที่เป็นจริง
เมื่อมีทุกข์ แทนที่จะดิ้นรนหาทางหลีกเลี่ยง หรือปกป้องตัวเองให้พ้นจากภาวะเช่นนั้น ไม่ว่าจะหลบไปหาความบันเทิง หรือสะกดจิตให้เปลี่ยนมุมมอง
หากหาทางพิจารณาว่า เหตุที่เป็นทุกข์นั้นเพราะอะไร และคิดในทางหาวิถีขจัดเหตุแห่งทุกข์นั้น อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
มองแบบสืบสาวให้ลึกไปเรื่อยถึงเหตุที่ทำให้เกิดความเศร้าหมอง
เห็นความเศร้าหมองนั้นเป็นเรื่องปกติที่จะต้องเกิดขึ้น เพราะมีเหตุต่างๆ ที่มาประกอบกันเข้าให้เป็นเช่นนั้น
บางทีแค่มองความหม่นเศร้านั้นอย่างเข้าใจ และปล่อยให้เห็นไปโดยไม่คิดหาทางหลีกเร้น หรือปกป้อง
เมื่อถึงเวลาหนึ่ง “ความเศร้า” นั้นก็จางหายไปเอง
และหากยิ่งเห็นว่าอะไรเป็นเหตุ และทำใจปล่อยให้เหตุนั้นดับไปเอง โดยไม่ไปยุ่งเกี่ยว ทำให้แปรรูปเป็นอย่างอื่น
ความเศร้าอาจจะจางลง หรือหายไปได้อย่างแท้จริงมากกว่าไปสะกดไว้