แดดเดียว : ดีไซน์การเมือง

บรรยากาศบ้านเมืองของเราตอนนี้ ต้องถือว่ามีสีสันคึกคักอย่างที่ไม่ได้เห็นกันมาหลายปีแล้ว

โดยเฉพาะ 5 ปีที่ผ่านมา เป็นห้วงเวลาที่ “วังเอ๋ยวังเวง หง่างเหง่งย่ำค่ำระฆังขาน” กันเลยก็ว่าได้

การเมืองกลายเป็นเรื่องต้องห้าม หรืออาจกระทบต่อ “ความมั่นคง”

ตามสื่อต่างๆ มีแต่รายการร้องเพลง ชกมวย เล่นเกม ฯลฯ

Advertisement

การถกเถียง ดีเบต โต้วาทะวาทีเรื่องกิจการการเมืองหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ย้อนกลับไปปี 2551-2556 ก่อนที่จะเว้นวรรค 5 ปี ประเทศไทยเรามีการเลือกตั้ง ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550

รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นผลจากรัฐประหาร 2549 และว่ากันว่าเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญ 2560 แต่เอาส่วนผสมเก๋ๆ จากรัฐธรรมนูญ 2521 อันเป็นผลจากรัฐประหาร 6 ตุลาฯ 2519 มาเติมไว้

Advertisement

เรียกว่าเป็นกติกาสะแด่วแห้วอีกฉบับ ดีไซน์โน่นนี้ไว้ระยิบระยับพอควร แต่พอเลือกตั้งเข้าจริงๆ 2 รอบ คือ ปี 2550 ครั้งหนึ่ง และ 2554 อีกครั้ง

สรุปว่าเสียของทั้งคู่

รอบหลัง น้องสาวเสี่ยแม้วเป็นนายกฯ

จากนั้น รัฐบาลเสียงข้างมาก ก็มีอันกลายเป็น “เผด็จการรัฐสภา” ไปอย่างห้ามเถียง

ส่วนเสียงข้างน้อยที่แพ้เลือกตั้งมาตลอด สถาปนาตนเองเป็นคนดีมีหลักการ ด่าโขมงโฉงเฉงว่า มีการโกงเลือกตั้ง (อีกแล้ว) เพียงเพราะว่า พรรคตัวเองไม่ชนะ

นายกฯหญิงที่มาจากพรรคเสียงข้างมาก ไม่เชี่ยวชาญการตอบโต้ ถูกรุมต้อน ใช้คำเรียกเหยียดหยามว่า “อี” และเหยียดเย้ยส่อเสียดต่างๆ

บรรดา ส.ส.หญิงที่ประกาศตัวว่าเป็นนักสิทธิสตรี ผสมโรงเล่นด้วยอย่างสนุกปาก

สื่อหลายสำนัก ร่วมขับไล่รัฐบาล และต้อนรับการรัฐประหารอย่างกระปรี้กระเปร่า

ภายใต้ระบบการเมืองของรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ไม่เป็นมิตรกับพรรคการเมืองที่มาจากคนละขั้ว

ก็ยังมีคนเห็นว่าเป็นกฎกติกาที่ถูกต้องด้วยหลัก “นิติรัฐ-นิติธรรม” และประโคมวันละ 3 เวลา

พรรคการเมืองรัฐบาลที่พลิกโผเข้ามา จะขอแก้รัฐธรรมนูญ ผลคือข้อหาเป็นปรปักษ์กับการปกครองประชาธิปไตย

สุดท้ายก็ตกท่อไปจริงๆ ด้วยร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ตามมาด้วยการล้มเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557 และคดีจำนำข้าว อดีตนายกฯหญิงต้องเผ่นหนีไปต่างประเทศ

นั่นคือ 6-7 ปีก่อนรัฐประหาร 2557 และบวกด้วย 5 ปีเต็มๆ จาก 2557 ถึง 2562 ที่ชาวไทยเราจำศีล อยู่กันแบบสงบปากสงบคำ

พลางรับฟังคำปลอบใจจากบรรดาเกจิการเมืองว่า บ้านเมืองสงบเรียบร้อยดีที่สุด ไม่มีม็อบ การทำมาหากินสะดวก เศรษฐกิจดีมากๆ ต่างชาติทั้งมะกัน ยุโรป เข้าใจ สนับสนุนประเทศไทยทุกเวทีโลก ฯลฯ

เป็นเวลา 5 ปีอีกเหมือนกัน ของการสื่อสารแบบทางเดียว ทั้งสัมภาษณ์ ทั้งออกทีวี ออกสื่อต่างๆ

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า คนไทยเราผ่านห้วงเวลาที่ว่านั้นมาได้

มาถึงตอนนี้ บ้านเมืองพลิกเปลี่ยนไปอีกตลบ การเลือกตั้ง 24 มี.ค.มายืนซอยเท้ารออยู่แค่ปากซอยแล้ว

ผลจะเป็นยังไง ใครๆ ก็ถาม ใครๆ ก็อยากรู้ ถ้ามีเรี่ยวแรง กำลังทรัพย์ ทำโพลมาดูส่วนตัวได้ คงทำไปแล้ว

แต่ก่อนจะรู้ผลเลือกตั้ง อย่าลืมว่า ทุกคนจะต้องไปเลือกตั้งกันก่อน

และควรจะไปกันให้มากๆ

ผู้มีสิทธิรอบนี้ 51.4 ล้านคน ถ้าไปสัก 80-90% รับรองว่าเป็นเรื่องแน่นอน

แต่ถ้าทุกคนพร้อมใจกันนอนหลับทับสิทธิกรนครอกๆ ไม่ยอมออกไป ก็พอจะเดาออกเหมือนกันว่า ผลที่ตามมาจะเป็นยังไง

ที่แน่ๆ จะ “เข้าทาง” บรรดา “ดีไซเนอร์แก่ๆ” ที่อุตส่าห์ขยับฟันปลอม โด๊ปถั่งเฉ้า มาออกแบบ ดีไซน์กฎกติกาไว้ในรัฐธรรมนูญ กฎหมายเลือกตั้ง กฎหมายพรรคการเมือง

ในตอนนี้ คาดการณ์กันว่า มีโอกาสสูงที่ผู้คนจะออกไปเลือกตั้งกันมากกว่าทุกครั้ง

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เซียนหลายคนชี้ว่า สภาพ “โป๊ะแตก” จะเกิดขึ้นอย่างถล่มทลาย

เพราะตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค.มาจนบัดนี้ แม้จะยังไม่ทันเข้าคูหา ก็เริ่มเห็นเริ่มได้กลิ่นกันแล้วว่า ใครมาแรง ใครแผ่ว ใครส่อเค้าว่าจะปิ๋ว

พรรคไหนมาแรงดูง่ายๆ จะโดนสหบาทา รุมกินโต๊ะอย่างเมามัน

ข้อกล่าวหาต่างๆ ล้วนแต่แซ่บๆ จะหลั่งไหลมา จากสื่อบ้าง จากโซเชียลมีเดียต่างๆ บ้าง

ส่วนจะมี “ใคร” ยืนอยู่เบื้องหลังข้อกล่าวหาเหล่านี้บ้าง คงไม่ยากเกินการคาดเดา

ผลจากการปิดฝากาน้ำเอาไว้หลายปี เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า น้ำในกาเดือดแล้วเดือดอีก ทำให้เกิดอาการอัดอั้นกันโดยถ้วนหน้า

อารมณ์ของผู้คนตอนนี้ คือ เบื่อหน่ายบรรดาผู้ใช้อำนาจทั้งหลาย

บรรดานักลากตั้ง ที่รอบนี้กำลังฟิตตัว ลุ้นขอเป็น 1 ใน 250 ส.ว. รวมไปถึงบรรดาดีไซเนอร์ทั้งหลายที่ควรจะได้เวลากลับบ้านไปเลี้ยงหลานหรือเลี้ยงกิ๊กแล้ว

พรรคการเมืองหลายพรรคก็สร้างความเบื่อหน่ายเช่นกัน จากการไร้จุดยืนหรือวุ่นวายเล่นเกมมากเกินไป และอาจถูก “เท” ในรอบนี้

ไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้ และดีไซน์ไว้แล้วคือ พรรคชนะกับพรรคตั้งรัฐบาล อาจเป็นคนละพรรคกัน

สูตรนี้เตรียมการมา 5 ปี จะไปรอดหรือไม่ ต้องลุ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image