แดดเดียว : รักๆ ชังๆ

มีข้อหาหนึ่ง สำหรับผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์สังคมตัวเอง วิจารณ์ประเทศตัวเอง ว่าทำไมไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ น่าจะอย่างนั้นอย่างนี้ จะมีข้อหาหนึ่งแปะป้ายให้ทันที

นั่นคือข้อหา “ชังชาติ”

ข้อหานี้มักจะมาเป็นแพคเกจ มากับโปรพิเศษตลอดกาล นั่นคือถ้อยคำเสือกไสไล่ส่งว่า ถ้าลำบากนักก็ย้ายไปอยู่ประเทศอื่นซะ

บางทีก็ร้องตะโกนด้วยสำเนียงของร็อกสตาร์ประจำถิ่น นั่นคือ คนไทยหรือเปล่า ??

Advertisement

เวิร์ดดิ้งของคำว่าชังชาติ นับว่ามีการประดิดประดอย มีชั้นเชิงในด้านวรรณศิลป์อยู่บ้าง แทนที่จะด่าดิบๆ ว่าไม่รักชาติ เกลียดชาติ ซึ่งออกจะทื่อๆ ตรงไปตรงมาอย่างน่าปวดกบาล และสื่อไม่ได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล

เพราะธรรมชาติของคนเราเกิดที่ไหน ย่อมมีความรักผูกพันในปิตุภูมิมาตุภูมิแห่งนั้น จะไม่ยอมให้ใครมาด่าว่าไม่รักชาติได้ง่ายๆ อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีเรื่องมีราวกันพอสมควร

เปลี่ยนมาใช้คำว่าชังชาติ ดูจะนิ่มนวลขึ้น ดูเป็นวิชาการขึ้นมาหน่อย แต่เอาเข้าจริงๆ ความหมายก็ไม่ได้แตกต่าง คือ ไม่รัก หรือไม่ชอบ โดยนัยยะ ยังเป็นการกล่าวหาที่หนักหน่วงเอาเรื่องอยู่

Advertisement

แม้จะมีข้อโต้แย้งตลอดเวลา แต่ในสังคมร้าวๆ ที่ยังแบ่งแยกฝักฝ่ายของบ้านเรา ข้อหานี้ได้รับความนิยมพอสมควร มีการนำมาใช้บ่อยๆ เปิดดูในโลกออนไลน์ ในเว็บไซต์ ในโซเชียลมีเดียต่างๆ จะพบได้เรื่อยๆ

อย่างกลุ่มนักดนตรีที่ทำเพลงวิจารณ์สังคม ก็โดนจัดให้เป็นพวกชังชาติด้วย

คนที่นิยมใช้ข้อหานี้ สังเกตดู จะเป็นกลุ่มคนที่เชื่อว่าสังคมประเทศไทยนั้น โอเคมากๆ แล้ว ลุงตู่เอาอยู่ การเมืองนิ่ง ตัดโอกาสนักการเมืองขี้โกง ฯลฯ ถึงจะมีข้อเสียบ้างก็เป็นส่วนน้อย ไม่มากถึงขนาดที่จะมาเที่ยวพูดว่าไม่โอเค

นั่นคือแนวความคิดของพวกที่นิยมใช้ข้อหาชังชาติเป็นอาวุธฟาดฟันคนที่คิดต่างจากตัวเอง

สังเกตดู ข้อหาชังชาติ มักจะใช้สาดใส่ ใครก็ตามที่มาวิจารณ์สังคมประเทศไทยว่า 2 มาตรฐาน ไม่เป็นประชาธิปไตย ยังมีความไม่เป็นธรรมอีกมากมาย และอื่นๆ

ซึ่งข้อวิจารณ์เหล่านี้ ที่จริงเป็นเรื่องที่เบสิกมากๆ กล่าวคือ เห็นได้ทั่วไป ตั้งแต่ในระดับชีวิตประจำวัน การปฏิบัติต่อผู้คน มีความเหลื่อมล้ำ แตกต่างไปตามฐานะของคน

ไปจนถึงการใช้กฎหมาย อย่างคดีที่นายทุนใหญ่เป็นผู้ต้องหา ก็ดูจะมีสิทธิพิเศษมากสักหน่อย ถ้าจนๆ ตะโกนดังยังไงก็ไม่ใคร่มีใครได้ยิน

หรือคดีทางการเมือง พรรคบางพรรค สารพัดจะทำแต่ไม่เคยโดนยุบพรรค จนสามารถเอาไปโฆษณาได้ว่า พรรคเราไม่เคยโดนยุบ ยังดีที่ไม่เอาองค์กรอิสระ มาออกประกาศนียบัตรรับรองให้ด้วย

แต่บางพรรค โดนยุบแล้วยุบอีก อย่างพรรคเพื่อไทย กว่าจะมาเป็นเพื่อไทยทุกวันนี้ โดนยุบมา 2 ครั้งแล้ว

คดีในองค์กรอิสระ ก็มีภาพทำนองนี้ให้เห็นมากมาย แต่ก็ไม่เห็นมีใครสะดุ้งสะเทือน อยากจะปรับปรุงแก้ไข

หรืออย่างเรื่องไม่เป็นประชาธิปไตย ก็เห็นๆ กันอยู่ว่า รัฐบาลจากรัฐประหาร ประกาศโรดแมปคืนอำนาจ แล้วเลื่อนมาเรื่อยๆ

การคืนอำนาจ ก็เท่ากับบอกว่า กำลังเอาอำนาจของประชาชนไปถือไว้ ซึ่งในความเป็นจริง ต้องให้ประชาชนเข้ามากำหนด ด้วยการเลือกตั้ง แล้วดำเนินการไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน แล้วแต่ว่าจะเลือกใครเข้ามา

ผู้นำประเทศต่างๆ มาพบปะผู้นำไทย สนทนากันพอสมควร จะลงเอยด้วยถ้อยคำทำนองว่า หวังว่าประเทศไทยจะกลับคืนสู่ระบบปกติ มีการเลือกตั้งที่อิสระโปร่งใส มีรัฐบาลพลเรือน ฯลฯ

เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่พูดถึงปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตย บุคคลนั้นไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้ชังชาติ หรืออะไรที่ฟังดูร้ายๆ

ที่จริงต้องถือว่า พูดออกมา วิจารณ์ออกมา ก็ด้วยความ “รักชาติ” ยังได้

คนที่ชอบเห็นบ้านเมืองจมปลัก ประชาชนไร้สิทธิไร้เสียง การพัฒนาต่างๆ มีปัญหา จะเรียกว่าเป็นคนรักชาติได้อย่างไร

คนที่เรียกหาเผด็จการ เหยียบย่ำประชาธิปไตย ต่างหากที่ควรจะได้รับข้อหาว่าเป็นพวก “ชังชาติ”

แต่ก็อย่างว่า ใดๆ ในโลกล้วนแต่มักจะกลับตาลปัตร ด้วยคำพูดด้วยวาทกรรม ที่กลายเป็นอาวุธเข่นฆ่ากันในสังคมสมัยใหม่ไปแล้ว

ที่จริงน่าจะมาถกเถียงกันเหมือนกันว่า ในทรรศนะของคนที่ชอบยัดข้อหา “ชังชาติ” ให้คนอื่น คำว่า “ชาติ” ในความคิดของคนเหล่านี้ หมายถึงใครหรืออะไร

ชาติในความเห็นของคนเหล่านี้ อาจจะหมายถึงลุงๆ แทนที่จะหมายถึงประชาชนคนไทยทั่วๆ ไปก็ได้

คงจะต้องใช้เวลาอีกพอสมควร และกระบวนการต่างๆ อีกไม่น้อย เพื่อจะมาชำระล้างวิธีคิด และวาทกรรมที่ก่อตัวและตั้งอยู่บนความเกลียดชัง

สังคมที่เคารพสิทธิ เคารพความเห็นที่่แตกต่าง จะทำหน้าที่ชำระล้างแนวคิดเหล่านั้น

ระหว่างนี้ก็อยู่กันแบบรักๆ ชังๆ ไปก่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image