เมื่อเราแบ่งการกระทำเป็น “ดี” เป็น “ชั่ว”
ชีวิตจึงขึ้นอยู่กับชะตากรรม อันหมายถึงดำเนินไปด้วยความรู้สึกนึกคิดตามผลแห่งกรรม
ไม่ว่าใครก็ตามหากทำในสิ่งที่รับรู้อยู่แก่ใจตัวเองว่าเป็น “ความชั่ว” ตัดสินให้ตัวเองรับรู้ไปแล้วว่าสิ่งที่ทำไปนั้น “เลว”
การรับรู้ตัวเองเช่นนั้นย่อมติดตามและส่งผลต่อการกระทำครั้งต่อๆ ไป
บ้างพยายามหาทางไถ่ถอนตัวเองจากความรู้สึกไม่ดีนั้น ด้วยการทำดีทดแทน
บ้างพยายามหาทางแก้ต่างให้ตัวเอง หรือพยายามปกปิดไว้ไม่ให้คนอื่นรู้ หรือคิดว่าเป็นความไม่ดี หาเหตุผลต่างๆ นานามาแก้ตัว ให้พ้นไปจากความรู้สึกผิด
แต่ถึงที่สุดแล้ว ความรู้สึกที่ลึกลงไปยังมีความรู้สึกผิดนี้อยู่
สิ่งที่จะถามมาคือ “ภาพในใจ” ที่ความรู้สึกนี้สร้างขึ้นหลังจากนั้น
ถ้าเราลองสังเกตตัวเอง หรือเรื่องราวของใครก็ตาม จะพบว่าความเดือดเนื้อร้อนใจที่เกิดขึ้นนั้นมีเหตุมาจาก “ภาพในใจ” เกือบทั้งหมด
เมื่อเราบอกว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ทำให้เราเป็นทุกข์
หากลองไล่เรียงไปในรายละเอียดของสภาวะที่ทำให้ร้อนใจ เจ็บปวดความรู้สึก ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เลยไปจากสภาวะที่เราบอกว่าทำให้ทุกทั้งนั้น
เรื่องที่บอกว่าทำให้เดือดร้อนนั้น เป็นแค่จุดเริ่มต้น แต่ที่ทำให้เดือดเนื้อร้อนใจจริงๆ เป็นเรื่องที่เราคิดขยายเหตุเอาจากเรื่องนั้น
สภาวะที่ทำให้รู้สึกว่าทนไม่ได้ไม่อยากให้เกิดขึ้น ส่วนใหญ่เป็นสภาวะที่เราคิดขึ้นมาจากเรื่องที่เริ่มต้นดังกล่าว
ที่ทำให้ทุกข์ “เป็นภาพในใจ” ที่คิดขึ้นมาเอง
“ภาพในใจ” ที่เกิดจากการคิดว่าจะเกิดขึ้นนี้ มาจากความรู้สึกที่สะสมไว้ก่อนแล้วในใจ
คนที่สะสมความรู้สึกว่าตัวเองทำไม่ดีไว้ เมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นในชีวิต และเกิดสะกิดใจไปนึกถึงเรื่องราวที่เคยทำไว้แต่หนก่อน ความรู้สึกเก่าๆ นั้นจะมาเป็นตัวกำหนดว่า เราจะคิดอย่างไรต่อเรื่องที่ประสบพบเจอในปัจจุบันขณะ
และ “ความคิด” นั้นจะสร้าง “ภาพของเรื่องราวในใจขึ้นมา”
จากนั้นหากเป็นภาพที่เราอยากจะให้เกิดขึ้น ย่อมสร้างความวิตกกังวลตามมา ต่อด้วยความพยายามที่จะดิ้นรนหาทางหลีกหนีจากสภาพที่กังวลนั้น
ก่อให้เกิดการกระทำเพื่อหลีกหนีต่อเนื่องไปมากมาย
“ภาพในใจ” ที่ความคิดสร้างขึ้นมา ก่อให้เกิดผลต่อการกระทำอีกมากมาย ซึ่งจะสะสมความรู้สึกดี หรือไม่ดีไว้ให้ผลต่อชีวิตข้างหน้าต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชีวิต ณ ปัจจุบันขณะ หากเราหยุดไว้แค่นั้น ไม่เอามาคิดต่อ อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่มีผลมากมายอะไรกับชีวิต
แต่พอคิดต่อว่าน่าจะก่อให้เกิดอะไรขึ้น กลับก่อความร้อนรุ่มมากมาย
เราทุกข์ร้อนกับความกังวลต่อเรื่องราวอนาคต โดยมีความรู้สึกที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นตัวชักนำให้คิดไปในทางที่ก่อความกังวลนั้น
ทำอย่างไรจึงจะอยู่กับ “ภาพของเรื่องราวที่เป็นจริงในปัจจุบัน”
โดยไม่ไปคิดสร้าง “ภาพในใจขึ้นมาเป็นเรื่องราวให้ทุกข์ร้อน”
เป็นเรื่องที่ต้องฝึกความเคยชินของจิตกันใหม่
จากที่เคยใช้ “ความคิด” ในการแก้ปัญหา มาเป็นฝึก “รู้สภาวะที่เป็นจริงปัจจุบันขณะ”
ให้ “แค่รู้” ไม่ปล่อยให้ผลกรรมในอดีตมาสร้างความคิด
เราเกิดมาในแดนแห่งพุทธธรรม เป็นโชคดีอย่างยิ่งที่มีครูบาอาจารย์มากมายที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในการฝึกให้กับเรา
ขอแค่เราเปิดใจว่าจะเดินไปในหนทางแห่งการ “ฝึกรู้” แทนที่จะเดินต่อไป ในหนทางที่จมอยู่ใน “ความคิด”
โอกาสจะรู้จักและจัดการ “ภาพในใจ” ให้เหมาะสม ไม่เป็นเหตุให้ก่อกังวล ทั้งขณะนี้และภายหน้า
ย่อมมีอยู่เสมอ