คอลัมน์ เล่าเรื่องหนัง : Z Nation โลกที่’ซอมบี้’กับ’มนุษย์’อยู่ด้วยกันได้

ภาพประกอบ Youtube video / SYFY

เมื่อซีรีส์ซอมบี้ล้างโลกที่ออกฉายต่อเนื่องมา 5 ปี อย่าง “Z Nation” ที่เนื้อเรื่องโดดเด่นในภาพจำว่าเป็นเรื่อง “ซอมบี้พิสดาร” ค่อนไปทางตลกสายฮา ผสมดราม่า และยังมีเรื่องราวไซไฟเข้าผสมผสาน ทำให้ Z Nation เป็นซีรีส์ตระกูลซอมบี้ที่ไม่ซ้ำซาก ขนาดที่หลายคนที่อาจจะเลิกดูซีรีส์ซอมบี้สุดคลาสสิกอย่าง “Walking Dead” ไปแล้ว แต่แฟนหนังตระกูลซอมบี้จำนวนไม่น้อยกลับยังติดตามซีรีส์ Z Nation ได้เรื่อยๆ

ความไม่น่าเบื่อที่ซีรีส์เรื่องนี้ “กล้าเล่น” ด้วยเส้นเรื่องบ้าบิ่น ใส่ความเนิร์ดของทีมเขียนบทที่บันดาลเรื่องราว “นอกกรอบ” ขนบหนังซอมบี้ ผสมทั้งวิทยาศาสตร์ แฟนตาซี จนทำให้คนดูคาดหวังว่าแต่ละตอนเรื่องราวจะบรรเจิดเลยเถิดไปที่จุดไหน กลายเป็น “จุดเด่น” และ “จุดแข็ง” ของซีรีส์ชุดนี้

แม้กว่าครึ่งค่อนเรื่องจะเป็นซีรีส์ที่เน้นความบันเทิง ทะเล้น มีฉากแอ๊กชั่นรุนแรง แต่การมาถึงบทสรุปสุดท้ายในซีซั่น 5 ที่เป็นบทอวสาน ตัวซีรีส์กลับใส่มุมมอง “การเมือง” ที่จริงจังและหนักขึ้นได้น่าสนใจ

“Z Nation” มีเรื่องราวเริ่มต้น หลังผ่านไป 3 ปี นับจากเหตุการณ์ “วันสิ้นโลก” (Apocalypse) วันที่ผู้คนติดเชื้อซอมบี้ทั่วโลก จนมนุษย์ต้องอยู่กันอย่างล่มสลาย กระทั่ง “กลุ่มคน” จำนวนหนึ่งที่ต่างหนีตายมาจากที่ต่างๆ ได้มารวมตัวกันเพื่อปฏิบัติภารกิจพาอดีตนักโทษชายสุดดื้อรั้นที่ชื่อ “เมอร์ฟี่” ไปส่งให้หน่วยงานที่วิจัยรักษาเชื้อซอมบี้ เนื่องจากภูมิต้านทานร่างกายของ

Advertisement

เมอร์ฟี่มีสิ่งอัศจรรย์ที่อาจจะเป็นคำตอบให้โลกในการหยุดยั้งเชื้อโรคซอมบี้ได้

เรื่องราวการเดินทางและผจญภัยของปฏิบัติการนี้จึงเริ่มขึ้นตลอดทั้งซีรีส์ โดยวางธีมเล่าเรื่องในแบบ “โร้ดมูฟวี่” แต่ละตอนคณะผู้ร่วมทีมจะต้องเดินทางไปเผชิญสถานการณ์สุ่มเสี่ยงตามเมือง-รัฐต่างๆ ต้องรับมือกับซอมบี้ที่มีวิวัฒนาการแปลกๆ หลากหลายแบบ

เส้นเรื่องที่ดำเนินมาอย่างน่าติดตาม ให้สมาชิกภายในกลุ่มต้องผ่านทั้งทัศนคติที่แตกต่าง การทรยศหักหลัง การฟื้นความสัมพันธ์ ร่วมเป็นร่วมตาย ความห่วงหาอาทร และมิตรภาพ

Advertisement

มาในบทสุดท้ายของซีซั่น 5 ที่โลกอยู่ใน “ยุคซอมบี้” มานานถึง 8 ปี เริ่มฟื้นฟูอารยธรรมกลับมาในหลายชุมชน ขณะที่ “มนุษย์” ที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างปรับตัวที่จะอยู่กับความเป็นความตายได้ตลอดเวลา

โดยใน Z Nation ขับเน้นว่าถึงเวลาแล้วที่จะเกิด “ผู้นำทางการเมือง” ที่ต้องการฟื้นฟูประเทศขึ้นใหม่ สร้าง “ดินแดนแห่งความหวัง” ขึ้นใหม่ สร้างรัฐบาลที่มาจากประชามติ และการเลือกตั้งมาบริหารดินแดนใหม่

ขณะเดียวกัน 8 ปีที่ผ่านมา สภาพแวดล้อมที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ และผลพวงจากวิทยาศาสตร์ล้ำยุค ส่งผลให้ซอมบี้มีวิวัฒนาการมาเป็นซอมบี้ที่ซอฟต์ขึ้น เรื่องเล่าของซีรีส์จากนี้อาจจะดูเพ้อเจ้อ ตลกประสาหนัง นั่นคือการวางพล็อตให้ซอมบี้มีวิวัฒนาการที่พูดได้ มีความรู้สึก ทั้งรัก โกรธ และสื่อสารได้ไม่ต่างจากมนุษย์ เพียงแต่ไม่ใช่มนุษย์ เพราะไม่มีชีพจร ซึ่งในซีรีส์เรียกซอมบี้ที่มีวิวัฒนาการแบบนี้ว่า “ทอล์กเกอร์”

“ซอมบี้ทอล์กเกอร์” ดำรงชีวิตด้วยการกินขนม “บิสกิต” สูตรลับพิเศษที่มนุษย์ผลิตขึ้น เมื่อได้กินอย่างสม่ำเสมอก็จะไม่กลายเป็นซอมบี้อาละวาดไล่ล่ากินคน แต่จะมีชีวิตเหมือนมนุษย์ทั่วไป อยู่ในสังคมเดียวกับมนุษย์ได้เหมือนปกติ

พล็อตนี้นำมาสู่ประเด็นในซีซั่นสุดท้ายของ Z Nation คือการที่ “โลกยุคใหม่” หลังเหตุการณ์วันสิ้นโลกผ่านไป และเป็นโลกที่จะเริ่มต้นฟื้นฟูสร้างประเทศขึ้นมา กำลังจะมี “ประชากรสองแบบ” คือ “มนุษย์ปกติ” กับ “ซอมบี้ทอล์กเกอร์”

คำถามคือ เป็น “ความแตกต่าง” ที่อยู่ร่วมกันได้ในโลกสมัยใหม่หรือไม่

“Z Nation” ซีซั่นสุดท้าย คือการพยายามทำให้ “มนุษย์” ที่ยังหลงเหลืออยู่ยอมรับในประชากรกลุ่ม “ซอมบี้ทอล์กเกอร์” และอยู่ร่วมกันในฐานะพลเมืองของดินแดนเดียวกันได้ แม้จะดำรงชีวิตแตกต่างกัน โดยดำเนินการมีส่วนร่วมนี้ผ่านการ “ลงประชามติ” เพื่อขอฉันทานุมัติที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งเพื่อสานต่อแนวคิดการอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างนี้

นั่นคือ มนุษย์จะต้องยอมรับการมีอยู่ของซอมบี้ทอล์กเกอร์ แม้อาจจะน่าหวั่นใจเรื่องความปลอดภัยบ้าง แต่หากเชื่อมั่นว่าสถานการณ์หลายอย่างเริ่มคลี่คลาย มีซอมบี้ที่มีวิวัฒนาการเข้าใกล้ความเป็นมนุษย์มากขึ้น ขณะที่มนุษย์มีหนทางรับมือที่ประนีประนอมได้แล้ว เป็นเช่นนี้เขาเหล่านั้นก็ไม่ได้ต่างจากเรา

เป็น “Political Correctness” หรือความถูกต้องทางการเมืองที่ซีรีส์สื่อสารออกมาได้น่าสนใจว่า หากต้องฟื้นประเทศขึ้นใหม่ และตั้ง “รัฐบาลใหม่” ผ่านการเลือกตั้ง หลังโลกถูกซอมบี้ยุคเดิมล้างระบบไปแล้วนั้น จำเป็นมากที่มนุษย์กับซอมบี้ยุคใหม่ที่รัฐมีวิธีควบคุมให้ไม่อันตรายได้แล้ว จะต้องอยู่ร่วมกันให้ได้ และผู้นำทางการเมืองจะต้องทำหน้าที่ “รวมความหลากหลาย” นี้เข้าด้วยกัน มากกว่าเป็นผู้สร้างความขัดแย้งเสียเอง เป็นผู้นำที่สร้างรัฐธรรมนูญที่เข้าใจและคำนึงถึงความแตกต่าง และสิทธิเสรีภาพขึ้นมา

แต่เป็นสัจธรรม ในทุกที่ที่มีการเมืองย่อมมีความขัดแย้ง เรื่องราวในซีรีส์เราจึงได้เห็นมุมมองทั้งคนเห็นด้วย กับไม่เห็นด้วย ว่ามนุษย์จะอยู่ร่วมกับซอมบี้ทอล์กเกอร์ได้อย่างไร

ใน Z Nation จึงปรากฏผู้นำ 2 แบบ แบบแรก คือผู้นำที่เน้นปกครองด้วยการชูความมั่นคงปลอดภัยของมนุษย์เป็นหลัก และปฏิเสธความหลากหลายของอีกเผ่าพันธุ์ที่อาจดูอันตราย หวาดกลัว จนต้องกำจัดทิ้งหรือขับไล่ไป ขณะที่ผู้นำอีกแบบ ที่เชื่อว่ามีอนาคตรออยู่ ถ้าร่วมมือกันทั้งมนุษย์และซอมบี้ทอล์กเกอร์ก็จะอยู่ด้วยกันได้อย่างเป็นมิตร เพราะทอล์กเกอร์ก็เป็นญาติ เป็นคนรัก เป็นเพื่อนของใครบางคนที่เป็นมนุษย์เช่นกัน

เป็นแนวคิด “Political Correctness” ที่ถูกใส่เข้ามาในซีซั่นบทสรุปได้อย่างมีนัยยะว่า บางครั้งเราก็มิอาจแบ่งแยกหรือกำจัดสิ่งที่แตกต่างจากเราไปได้ ด้วยเหตุผลของ “ความกลัว”

เฉกเช่นที่ซีรีส์เน้นย้ำว่า “United We Live Divided We Turn”

รวมกันเราอยู่ แยกกันเรากลายร่าง (เป็นซอมบี้)

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image