แดดเดียว : ไล่ไปอยู่อินเดีย

ห่างหายไป 5 ปี สภากลับมาเที่ยวนี้ เรตติ้งแรง มีเอฟซี มีติ่งติดตามกันเป็นประจำ

อย่างมติชนออนไลน์ ข่าวสดออนไลน์ มติชนวีกลี่ออนไลน์ ที่ไลฟ์สตรีมมิ่งการประชุมสภาทางเฟซบุ๊ก มียอดคนตามฟังล้นหลาม แถมยังมีคอมเมนต์หรือ “เมนต์” ดุเดือดอีกด้วย

คลิปการประชุมสภาที่ตัดมาเสนอเป็นเรื่องๆ ไม่ยาวมาก ทำให้คนที่ไม่ว่าง ไม่มีโอกาสดูสดๆ มาติดตามทีหลัง เอาไปส่งต่อกันก็ง่ายดาย

ผู้แทนฯคนไหนพูดจาเข้าทีก็แจ้งเกิดไป คนไหนเลอะเทอะก็โดนด่าไปตามระเบียบ โดนทั้งตัวทั้งพรรค คอมเมนต์สดุดีกันยาวเหยียด อ่านแล้วต้องไปรดน้ำมนต์ 3 วัด 7 วัด

Advertisement

สภาเป็นอำนาจอธิปไตยทางด้านนิติบัญญัติ ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลไปพร้อมกัน แต่มาในยุคไอทีอย่างปัจจุบันนี้ สภาโดนตรวจสอบจากประชาชนโดยตรงอีกที

โดยผ่านการถ่ายทอดสดทางอินเตอร์เน็ต ที่เปิดโอกาสให้ผู้ชมคอมเมนต์ แสดงความคิดความเห็นนี่เอง

เคยเจอกับหลายๆ คน ที่ปกติไม่ค่อยอยากติดตามการบ้านการเมือง ด้วยเหตุผลขี้เกียจปวดหัว มาตอนนี้ ออกปากว่า ติดประชุมสภางอมแงมไปแล้ว

Advertisement

นัดไหนไม่ฟังจะเกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ต้องคลิกหาชมย้อนหลังกันไป

เป็นเรื่องดี เพราะสะท้อนว่าสังคมเห็นความสำคัญของสภา

สภาผู้แทนฯมาจากเลือกตั้งโดยตรง ชาวบ้านมีทุกข์ร้อน สมัยก่อนต้องเหมารถมาหาผู้แทนฯ ที่จะเปิดสำนักงาน เปิดบ้านรับ ไม่มีการปิดประตูแม้ค่ำมืดดึกดื่น

เดี๋ยวนี้โลกพัฒนา มีกลุ่มไลน์ จะอยู่ไกลแค่ไหน ส่งปัญหาทุกข์ร้อนให้ ส.ส.ได้โดยตรง

จะเอาภาพ หรือคลิป มีพร้อมหมด

อย่างที่จะเห็นว่า ประธานชวน หลีกภัย ต้องเปิดช่วงเวลาให้ ส.ส.แจกแจงปัญหา เพื่อให้ประธานส่งต่อไปยังนายกฯ หรือรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบ

เวลามีสภาแบบนี้ ข้าราชการที่สันหลังยาว มีความคิดเป็นเจ้านายประชาชน จะไม่ค่อยชอบ เพราะถูกจ้ำจี้จ้ำไช ส่วนข้าราชการที่ขยัน ทำงานช่วยเหลือชาวบ้านอยู่แล้ว ก็จะเฉิดฉายได้โชว์ผลงาน

ระบบผู้แทนฯทำให้ชาวบ้านมีปากมีเสียง ส่งเสียงมาถึงส่วนกลางได้ ฝ่ายบริหารเองและข้าราชการก็ต้องเกรงใจ ส.ส.

ถ้าทำเป็นมีปัญหา เดี๋ยวเจอกระทู้ถาม ญัตติ ญัตติด่วน ให้รัฐมนตรีเดือดร้อนต้องมาตอบ เกิดการไล่เบี้ยกันขึ้นมา ถึงขั้นตั้งกรรมการสอบ ชีวิตราชการจะอับเฉา

ลองคิดดูว่า แล้ว 5 ปีที่สภาหยุดไป ชีวิตชาวบ้านจะลำบากขนาดไหน ทุกข์ร้อนไม่มีคนเอาใจใส่ เอะอะจะให้ไปร้องศูนย์ดำรงธรรม ก็ต้องโชว์บัตรประชาชน แสดงตัวตน เดี๋ยวก็ได้เดือดร้อนไปกันใหญ่

การปฏิวัติรัฐประหารที่เกิดขึ้น จึงต้องยกเลิกสภา เพราะกลัว ส.ส.กับชาวบ้านรวมพลังกัน กลัวชาวบ้านจะส่งเสียงคัดค้านผ่าน ส.ส.

สู้ยกเลิกสภา แล้วแต่งตั้งพรรคพวกเครือข่ายมาเป็นสภาลากตั้ง สบายกว่ากันเยอะ

กฎหมายผ่านเร็วจี๋ ปั๊มกันออกมา 500 ฉบับสบายๆ อย่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี ที่ ส.ส.ถกกันข้ามวันข้ามคืน ตั้งกรรมาธิการวิสามัญ ต้องมีหน่วยงานมาเข้าคิวชี้แจง ชี้แจงไม่ได้โดนแขวน ต้องตั้งโรงครัวเลี้ยงข้าวกันสามมื้อ เป็นมหกรรมตรวจสอบที่ยิ่งใหญ่

แต่ทั้งหลายเหล่านี้ผ่านสภาลากตั้งแบบสบายๆ แถมยังมีการอวยกันเป็นระยะๆ แบบไม่ต้องเกรงใจใคร

กลับมาที่สภาผู้แทนฯปัจจุบันกันบ้าง เมื่อวันพุธที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา สภาประชุมที่ห้องประชุมทีโอทีตามปกติ

เกิดรายการปะทะเมื่อ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.หนุ่มรูปหล่อจากฉะเชิงเทรา สังกัด พปชร. สวมสูทผูกไท ลุกขึ้นบอกว่าไม่สบายใจการแต่งกายของ ส.ส.บางคนของพรรคอนาคตใหม่ ไม่สวมเนกไท ใส่เสื้อโปโลสวมทับด้วยเสื้อสูท

หลังจาก ส.ส.แปดริ้วลุกมาติติงเรื่องคอสตูม นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคอนาคตใหม่ ยกมือขอพูดบ้างว่า ส่วนตัวไม่ได้ใส่เนกไท แต่หากมีวาระสำคัญก็ใส่ สำหรับพรรคอนาคตใหม่ เราเห็นว่าเกียรติยศของผู้แทนฯอยู่ที่การทำงาน

สภาควรก้าวข้ามเรื่องภายนอกอย่างเรื่องการแต่งตัว การแต่งกายให้เหมาะสมตามสากลนิยมนั้น ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยเขาใส่ใจเรื่องการแต่งกายน้อยลง และสนใจเรื่องความหลากหลายมากขึ้น

เรื่องเนกไท ในอังกฤษหรือสิงคโปร์ ผู้แทนฯก็ไม่จำเป็นต้องผูกเนกไท

การปะทะในเรื่องผ้าผูกคอ หรือเนคไท สะท้อนความคิดความเชื่อ 2 ขั้ว

การใส่สูทผูกไทดูเป็นสากลแน่ๆ โดยเฉพาะถ้าไปประชุมต่างประเทศ

แต่ในเมืองร้อนแบบประเทศไทย จะตามมาด้วยความสิ้นเปลือง อย่างเรื่องของแอร์คอนดิชั่น

ส่วนเสื้อโปโลสวมทับด้วยสูท คือความพยายามประยุกต์ให้เกิดความสะดวกสบายมากขึ้น

เรื่องอย่างนี้ ที่จริงควรเปิดใจกว้างแล้วแลกเปลี่ยนความเห็นกัน ใช้อารมณ์ขันบ้าง ไม่เอาการอยู่ต่างสังกัดมาเป็นเงื่อนไขเอาชนะกัน หรือพยายามกะเกณฑ์ให้คนอื่นมาทำตามใจเรา

หรือจะให้ดี ไปถามชาวบ้านในเขตเลือกตั้งดูก็ได้ว่าเขาอยากให้ ส.ส.แต่งตัวยังไง แต่ระวังโดนด่าว่า ว่างมากรึไง เอาเวลาไปคิดทำงานให้ชาวบ้านดีกว่ามั้ง

อีกเรื่องในวันเดียวกัน นายปรีดา บุญเพลิง ส.ส.พรรคครูไทยเพื่อประชาชน ลุกมาถามว่า มี ส.ส.บางคนอภิปรายเป็นภาษาถิ่น

ขอให้ยึดหลักคล้ายเครื่องแต่งกาย คือยึดตามที่ประธานสภากำหนด เพราะนี่คือรัฐสภาไทย ไม่ใช่สภาต่างประเทศ

นายชวน หลีกภัย ตัดบทว่า แต่ละภาคมีภาษาที่ไพเราะ ่การอภิปรายให้พูดภาษากลาง หรือภาษาถิ่นที่พอเข้าใจได้ มิฉะนั้น เจ้าหน้าที่ผู้จดบันทึกการประชุมก็อาจจะมีปัญหา

ขณะที่ น.ส.กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ อภิปรายระบุว่า สภาควรเป็นที่แสดงความหลากหลายทางอัตลักษณ์ของสมาชิก หลายประเทศรวมถึงอินเดียให้ใช้ภาษาถิ่นได้กว่า 20 ภาษา ประเทศไทยมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภาษา สภาควรสะท้อนความหลากหลายนั้น

ระหว่างนั้นมีเสียงโห่จาก ส.ส.รัฐบาล พร้อมกับเสียงลอยๆ ว่าไปอยู่อินเดียเลย

เลยเกิดการประท้วง ส.ส.อนาคตใหม่ฟ้องประธานว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะ ส.ส.รัฐบาลคนหนึ่งคือ นายศิริพงษ์ รัศมี ลุกขึ้นปฏิเสธว่าเป็นการพูดโกหกกลางสภา ไม่มีใครพูดถึงอินเดีย หรืออาจเอ่ยชื่อ “มาดามเดียร์” มากกว่า (ฮา)

ทำเอา นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ถ้าท่านยืนยันว่าไม่ได้พูดก็ไม่เป็นไร ประธานไม่ได้ยินก็ไม่เป็นไร แต่ตนเองและพรรคอนาคตใหม่ยืนยันว่าได้ยินแบบนี้

พร้อมกับกล่าวอีกว่า มารยาทลักษณะแบบนี้แหละคือการให้เกียรติสภา คนที่ไม่ได้ใส่เนกไทแต่พูดจาอยู่กับร่องรอย มีเหตุผล อภิปรายสร้างสรรค์ นี่คือการให้เกียรติสภา แต่ถ้าไม่พอใจและโห่ใส่กัน นี่คือการไม่ให้เกียรติสภา

วันรุ่งขึ้น พรรคอนาคตใหม่ นำเอาคลิปมาเปิดพบว่า มีเสียงโห่ และคำพูดไล่ไปอยู่อินเดียจริงๆ

ใครโกหกกันแน่ พอจะรู้กันอยู่ เป็นหน้าที่ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ต้องไปจัดการกับส.ส.โกหกกันเอาเอง

นั่นคือสิ่งที่เกิดในที่ประชุมสภา ซึ่งคือภาพจำลองของสังคมนั่นเอง

มีทะเลาะเบาะแว้ง เห็นต่าง กะเกณฑ์ ก้าวร้าวโห่ใส่กัน ไล่ไปอยู่ประเทศอื่น สุภาพเรียบร้อย และถ่อยเถื่อน ฯลฯ

มีกลุ่มแนวคิดใหม่ มีกลุ่มหัวโบราณ ฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐบาล อีกฝ่ายเป็นฝ่ายค้าน แต่อยู่ร่วมกันได้ และต้องอยู่ร่วมกันด้วย ถึงจะเรียกว่าสภา

ต่างคนต่างแสดงออกถึงความเห็นตัวเอง ปฏิบัติตามแนวคิด ตามอุดมการณ์ของตนเอง ทำหน้าที่ ส.ส.ให้ดีที่สุด

ไม่ใช่จะเอาแนวของตัวเองเท่านั้น ขัดใจขึ้นมางัดนกหวีดมาเป่า ปิดสภาแล้วปฏิรูปปฏิคลำกันยาวๆ ไป

ที่สำคัญมาก ขาดไม่ได้คือ “กรรมการกลาง” ที่ต้องรักษากฎกติกาเคร่งครัด เป็นกลาง ไม่เข้าข้างใคร

ทุกฝ่ายต้องยอมให้กฎหมายตัดสิน และยอมรับ เมื่อทุกอย่างเที่ยงธรรมดีแล้ว

ถ้าประธานชวนบอกว่า ใส่สูทผูกไทมาเถอะทุกท่าน ใส่ทำงาน ใส่นอนด้วยยิ่งดี ใครไม่แต่งมาแบบนี้ ห้ามเข้าประชุม ก็คงจะยุ่งแน่ๆ

หรือถ้ากรรมการบอกว่า พวกฝ่ายค้านใช้ไม่ได้ มีความเห็นแปลกๆ กระทบต่อความมั่นคงของสภา ให้เอาไปขัง จับมัดหัวแม่มือเอาไปปรับทัศนคติ หรือดีไซน์ระเบียบใหม่ ์ให้ ส.ส.ฝ่ายค้านไปนั่งอยู่นอกสภา

สภาก็ไม่เป็นสภาอีกต่อไป

สังคมไทยข้างนอก ก็ต้องอยู่กันแบบนี้ให้ได้ คิดไม่เหมือนกัน แต่ต้องอยู่ร่วมกันให้ได้ โดยต้องเคารพสิทธิศักดิ์ศรีของกันและกัน ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม

ผู้รักษากฎหมายก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่ 2 มาตรฐาน ไม่ใช้กฎหมายสร้างอภิสิทธิ์ชน

ใครที่ไม่เกี่ยว ไม่ต้องมาตัดสินว่า อยู่กันแบบนี้ไม่ได้ จะต้องเข้ามาจัดระเบียบ ให้อยู่กันนิ่งๆ

เลยนิ่งกันจนเจ๊งเป็นแถบๆ

ขอสนับสนุนให้สภาถกเถียงกันมากๆ ด่ากันก็ได้ แต่ต้องใจเย็นรับฟังกัน หาข้อสรุปให้เจอ

ใครใคร่ใส่สูท ใส่ ไม่อยากใส่ก็ไม่ต้องใส่ อยากใส่เสื้อโอเวอร์โค้ทมาประชุมก็เอาเลย อยากพูดภาษาถิ่นก็พูดไป สภาแค่ไปจ้างคนมาจดบันทึกประชุม ไม่ต้องมาไล่กันไปอยู่อินเดีย แล้วทำงานมากๆ ออกกฎหมายดีๆ ให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพมากๆ

สภาน่าจะเป็นแบบนี้มากกว่า

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image