ผู้เขียน | สาโรจน์ มณีรัตน์ |
---|
ทุกครั้งที่เห็นข่าวเกี่ยวกับทุนต่างชาติเข้ามากว้านซื้อกิจการสถาบันการศึกษาของบ้านเรา ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าเป็น
เพราะอะไร? ทำไมสถาบันการศึกษาของเราดีมากหรือ?
เขาถึงอยากได้?
แต่พออ่านรายละเอียดของข่าวมากขึ้นๆ กลับพบว่าจริงๆ ทุนต่างชาติไม่ได้มากว้านซื้อกิจการของสถาบันการศึกษาของเราแบบเบ็ดเสร็จร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก
เพียงแต่เข้ามาถือหุ้น
ในสัดส่วนที่มากกว่าคนไทยคือประมาณ 51% ส่วนนักลงทุนไทยจะถือหุ้นอยู่ประมาณ 49% ซึ่งเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของการดำเนินธุรกิจทั่วไป ทั้งในส่วนที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ และในตลาดหลักทรัพย์
ตรงนี้พอรับได้
เพราะเป็นกฎ กติกา มารยาทของการดำเนินธุรกิจทั่วไป แต่ที่ลึกไปกว่านั้น และอาจจะรับไม่ได้ถ้าเป็นจริงขึ้นมาคือนักลงทุนต่างชาติมีการตกลงกับนักลงทุนชาวไทยในการปิดหูปิดตาเพื่อรับนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ของประเทศเขา เพื่อมาศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี
พูดภาษาชาวบ้านคือไม่ต้องเรียนจบ ม.6 ก็สามารถมาเรียนปริญญาตรีในเมืองไทยได้
ซ้ำร้ายไปกว่านั้นยังมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่านักลงทุนชาวไทยปล่อยให้นักลงทุนต่างชาติร่วมออกแบบหลักสูตรในระดับปริญญาตรี นัยว่าเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับนักศึกษาของประเทศเหล่านั้นสามารถเรียนจบได้อย่างไม่ยากเย็น
โดยเฉพาะในระดับมหา’ลัยของรัฐแถวสองบางแห่ง
ซึ่งผมเห็นข้อมูลแล้วค่อนข้างรู้สึกเหน็ดเหนื่อยต่อระบบการศึกษาบ้านเราอย่างมาก
แม้จะยอมรับความจริงว่าตอนนี้สถาบันการศึกษาของรัฐ และเอกชนหลายแห่งค่อนข้างประสบปัญหา เพราะขาดแคลนจำนวนผู้เรียน บางคณะต้องปิดตัวลงเพราะไม่มีใครเรียน
บางมหา’ลัยเริ่มทยอยหาผู้ถือหุ้นรายใหม่เพื่อต่อลมหายใจในการดำเนินธุรกิจการศึกษา ขณะที่มหา’ลัยเอกชนบางแห่งตัดสินใจขายสถาบันการศึกษาทิ้งทันที เพราะขืนเปิดต่อไปจะทำให้กิจการร่อแร่
จึงเลือกกำขี้ดีกว่ากำตด
สัญญาณต่างๆ เหล่านี้ไม่ใช่ว่าพึ่งเกิด แต่เริ่มปรากฏเค้าลางให้เห็นในสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศต่างๆ มาบ้างแล้ว
เพียงแต่เราคาดไม่ถึงว่าจะเร็วเช่นนี้
และคาดไม่ถึงว่าจะลามมาถึงวงการการศึกษาของเมืองไทย
ทั้งๆ ที่ผ่านมามหา’ลัยของรัฐ และเอกชนพยายามอย่างยิ่งที่จะปรับตัวรับกับกระแสดิสรัปชั่นเพื่อหยุดขยายการลงทุนในวิทยาเขต,แคมปัส แต่หันไปลงทุนในด้านดิจิทัล แพลตฟอร์มแทน
ขณะเดียวกัน ก็พยายามนำมหา’ลัยของตัวเองออกไปโรดโชว์ในกลุ่มประเทศ CLMV,บางประเทศในเอเชีย รวมถึงบางประเทศในยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา เพื่อชักชวนนักศึกษาจากประเทศเหล่านั้นให้มาศึกษาต่อในบ้านเรา
ผ่านมาแม้จะประสบความสำเร็จบ้าง
ไม่ประสบความสำเร็จบ้าง
แต่กระนั้น ทำให้เห็นอย่างหนึ่งว่าหลายมหา’ลัยในเมืองไทยต่างพยายามปรับตัว ต่างพยายามดิ้นรนเพื่อให้ธุรกิจของตัวเองอยู่รอด โดยเฉพาะมหา’ลัยเอกชน
เพราะทางหนึ่งไม่มีเงินอุดหนุนจากภาครัฐ
ขณะที่อีกทางหนึ่ง การสอบวัดผลการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา (ทีแคส) เพื่อเข้ามหา’ลัยของรัฐต่างดึงเด็กเข้าไปอยู่ในระบบค่อนข้างมาก
จึงมีนักเรียนเป็นส่วนต่างเหลืออยู่บางส่วนที่มองเห็นว่าในบางสาขาของบางคณะไม่ตอบโจทย์ที่ทำให้เขาอยากเรียน ที่สุดนักเรียนเหล่านี้จึงไหลไปอยู่มหา’ลัยเอกชนที่มีบางสาขา บางคณะที่เขาอยากเรียนจริงๆ
อีกบางส่วนยังไปเรียนเมืองนอก และมหา’ลัยออนไลน์ที่มีชื่อเสียงในระดับโลก โดยเฉพาะกลุ่มที่อยากเรียนมหา’ลัยออนไลน์ ตอนนี้ทราบข่าวว่ามีตัวเลขเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
คำถามคือมหา’ลัยจะปรับตัวอย่างไร?
ในบางประเทศเขาขายพื้นที่บางส่วนเพื่อหันไปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอื่นๆ เพื่อรองรับกับดิจิทัล แพลตฟอร์มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ขณะที่บ้านเราเริ่มมีตัวอย่างให้เห็นบ้างแล้วอย่างมหา’ลัยดังย่านลาดพร้าวที่แบ่งที่ดินบางส่วนเพื่อหันมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจคอมเพล็กซ์
อีกไม่นานภาพเหล่านี้จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
และอีกไม่นานเราจะเห็นภาพการขายสถาบันการศึกษามากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการมีกลุ่มทุนจากต่างชาติเข้ามาถือหุ้นมหา’ลัยในบ้านของเรามากขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะกลุ่มทุนจากประเทศมั่งคั่ง
ลองเฝ้าติดตามข่าวดูนะครับ
แล้วทุกคนจะเห็นภาพไปในทิศทางเดียวกันว่า…สิ่งที่ผมเล่าให้ฟังทั้งหมดเป็นเพียงแค่เศษส่วนของความเป็นจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้เท่านั้นเอง
เพราะความเป็นจริงมันโหดร้ายกว่าที่เล่าให้ฟังนี้มากครับ ?