เริงโลกด้วยจิตรื่น : ยัง‘สุข’ได้ละหรือ : โดย จันทร์รอน

ชีวิตของทุกคนได้รับการถ่ายทอด ปลูกฝัง และหล่อหลอมมาให้แสวงหา “ความสุข”
เราต่างมี “ความสุข” เป็นเป้าหมายของชีวิต

ทำให้ในอีกความหมายคือเราไม่ต้องมี “ความทุกข์”

ภารกิจทั้งชีวิตของเราจึงเป็นการมองหา กระโจนเข้าใส่ เก็บเกี่ยว และสะสม “ความสุข”

ขณะเดียวกันเราระมัดระวัง หลีกหนี และปลดเปลื้อง “ความทุกข์”

Advertisement

นั่นคือภารกิจที่ทรงคุณค่า เป็นความสำเร็จของชีวิต

ใครสะสมสิ่งที่เรียกว่า “ความสุข” ได้มากกว่า คนนั้นย่อมได้รับการยกย่องว่ามีความสำเร็จเหนือกว่าคนอื่น

ขณะที่หากใครจมอยู่กับ “ความทุกข์” ถือว่าเป็นชีวิตที่ล้มเหลว

เมื่อให้เป้าหมายของภารกิจชัดเจนมากขึ้น เราจึงแปล “ความสุข” ที่เป็นนามธรรม ให้เป็นรูปธรรมที่เห็นได้สัมผัสได้

“ทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของเครื่องใช้ เกียรติยศชื่อเสียง การยอมรับนับถือ” คือรูปธรรมในความหมายของความสุข

ในแต่ละรูปธรรมมีลำดับขั้นของความเหนือกว่าขึ้นไปเรื่อยๆ

เราปลูกฝังความเชื่อกันไว้ว่า ใครที่จะสมสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไว้ได้มากกว่าผู้นั้นคือ “ผู้มีความสุข” ยิ่งสะสมสิ่งเหล่านี้ ในเกรด ยี่ห้อ ตำแหน่ง บารมีอำนาจที่เหนือกว่า ยิ่งได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จใน “การสะสมความสุข”

เราต่างแข่งขันกันช่วงชิงความสำเร็จ

ต่างมุ่งทุ่มเททุกความเป็นไปของชีวิตเพื่อให้ได้มากในสิ่งที่ก่อความรู้สึกเหนือกว่าเหล่านี้ เพื่อหวังว่าชีวิตจะเอิบอิ่มไปด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มอันมาจากสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ เป็นความหมายของความสุขนั้น

ทว่ากลับมีมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่ง หรืออีกพวกหนึ่งมองว่า ความสุขในสัญลักษณ์และความหมายอย่างนั้น ไม่ใช่ความสำเร็จ

มองว่านั่นเป็นวิธีการนำชีวิตสู่ความล้มเหลวเสียด้วยซ้ำ

ชีวิตที่ต้องดิ้นรนแสวงหาไม่หยุดหย่อน เพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สะสมไว้มากมายแค่ไหนก็ไม่เพียงพอ ชีวิตที่ถูกบีบคั้นกดดันกับความไม่เคยพอจะมีความสุขได้อย่างไร

จริงอยู่ เมื่อได้ตามปรารถนา ความปลาบปลื้มยินดีย่อมเกิดขึ้น อันถือว่าเป็น “ความสุข”

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ความสุข” เช่นนั้นดูจะเป็น จะอยู่แค่ชั่วคราว

ได้มาแล้วไม่ได้จบแค่นั้น ดูจะยิ่งกระตุ้นให้ได้มากเป็นทบเท่าทวีคูณกว่าเดิมไปเสียทุกที

และนั่นหมายความว่าชีวิตมีแต่จะต้องดิ้นรนแสวงหาหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

จนกลายเป็นชีวิตที่เคยชินกับวิถีที่ต้องถูกบีบคั้น กดดันให้ต้องดิ้นรนไปตามความอยากได้ใคร่มี โดยไม่รู้หยุดหย่อนนั้น

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ ความสามารถในการที่จะเข้าใจถึงความสุขในรูปแบบอื่นค่อยๆจางหายไป

เป็นพวกที่นึกไม่ออกว่า ความสุขที่นอกเหนือจากการสะสม ทรัพย์สิน เกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจบารมี จะมีอยู่ได้อย่างไร

จินตนาการไม่ได้ว่า จิตใจที่สงบ ชีวิตที่ไร้แรงกดดันบีบคั้น สภาวะที่เป็นอิสระ มีเสรีภาพอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร

และทั้งที่ความสุขที่ได้จากการเสพความเหนือกว่านั้น เอาเข้าจริงแล้วแรงสะท้อนกลับมากมาย เช่นยิ่งสร้างให้คนอื่น โดยเฉพาะที่แวดล้อมอยู่ในสังคมเดียวกันเกิดแรงกระตุ้นให้แข่งขัน ให้สู้เพื่อเอาชนะ

หรือก่อให้เกิดความอิจฉาริษยา เมื่อสู้ไม่ได้

ซึ่งล้วนแล้วเป็นปัญหาต่อมิตรภาพ และอื่นๆ อีกมากมายอันสะท้อนถึงการอยู่ร่วมกันโดยปราศจากความปรารถนาดีต่อกันอย่างแท้จริง

ซึ่งนั่นหมายถึงสภาวะการอยู่ร่วมกัน หรือสังคมที่เต็มไปด้วยความเสียดทาน

ชีวิตที่เต็มไปด้วยแรงกดดันที่จะต้องอยู่อย่างเหนือกว่า เสียดทานด้วยการแข่งขันกับเพื่อนร่วมสังคม และมิตรภาพที่จอมปลอม

จะเป็นความสุขได้อย่างไร

นั่นเป็นมุมมองความสุขที่แตกต่าง

และตั้งคำถามว่า ในเวลาของชีวิตที่เหลืออยู่เราจะจัดการความสุขอย่างไร

แต่ที่ท้าทายมากกว่านั้นคือ ความเคยชินกับวิถีแห่งความสุขที่ได้รับการปลูกฝัง หล่อหลอมมาดังกล่าว

ถึงวันนี้ เรายังเหลือความสามารถที่จะเลือกรูปแบบ และหนทางแห่งความสุขได้อย่างอิสระ ไม่ถูกครอบงำจากความเคยชินดังกล่าว อยู่หรือไม่

เราเหลือความสามารถที่จะมองเห็นความสุขในมุมอื่นที่นอกจากกรอบซึ่งถูกปลูกฝัง หล่อหลอมมาหรือไม่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image