มีความเชื่อกันอยู่ว่า “อารมณ์ ความรู้สึก” นั้นเป็น “คลื่น” อย่างหนึ่ง
“คลื่น” ที่แผ่ไปรอบๆ
“อารมณ์” แรง พลังที่แผ่ไปก็แรง
“ความรู้สึก” รุ่มร้อนย่อมแผ่กระแสที่ร้อนรุ่ม
ทุก “อารมณ์” และ “ความรู้สึก” แผ่ทั้งในใจ ในร่างกายของเราเอง และถ่ายเทสู่ภายนอกรอบตัว
ความเร่าร้อนจะแผ่พลังภายในเรา ก่อนที่จะส่งคลื่นสู่บรรยากาศรอบตัว
ความสงบเย็นก็เป็นไปเช่นเดียวกัน
ดังนั้นเอง รื่นรมย์ หรือร้อนรน หากเกิดขึ้นในเรา คนที่ได้รับผลก่อน และแรงกว่าคือเรา ส่วนจะส่งผลถึงคนอื่นอย่างไรขึ้นอยู่กับเจตนาที่จะพุ่งเป้าไปของเรา และความใกล้ไกลที่แรงคลื่นจะสะเทือนไปถึง
ด้วยเหตุนี้เอง หากต้องการชีวิตที่มีความสุข
สิ่งที่ต้องกระทำมี 2 อย่าง
เริ่มแรก ต้องตื่นรู้อยู่ตลอดไม่ให้จิตสร้าง “อารมณ์ความรู้สึก” ที่เร่าร้อนออกมา กำหนดจิตไว้ที่ความสงบเย็น
และต้องระมัดระวังไม่ให้กระแสรุ่มร้อนจากากภายนอก เข้ามาส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของเรา
สร้างสันติภาพขึ้นมาในใจ แล้วปล่อยให้กระแสหรือรังสีแห่งสันติภาพนั้นเป็นเกราะป้อง ปะทะกันความร้อนรุ่มไม่ให้เข้ามาส่งผลสะเทือนต่อจิตใจ
เป็นใจที่อ่อนโยนนุ่มนวล แต่เข้มแข็งที่จะไม่สะเทือนตามกระแสอารมณ์ที่แผ่มาจากภายนอก
วิธีสร้าง “จิตสงบเย็น” ต้องเริ่มที่ปรารถนาความสงบเย็น
เป็นความปรารถนาที่เด็ดเดี่ยว ไม่เจือด้วยอณูอื่นใดที่ทำให้โลเล
แค่รักษาปรารถนานั้นไว้อย่างเข้มแข็ง ปรารถนานั้นจะนำความสงบเย็นมาสู่จิตเอง
ความยากอยู่ที่แน่วแน่กับการรักษาความปรารถนาไว้ ไม่ให้โลเลไปเป็นอื่น
เพราะทั้งหมดที่ว่ามาเป็น “ความเชื่อ”
ธรรมชาติของ “ความเชื่อ” คือมี “ความไม่เชื่อ” แทรกซ้อนเข้ามาเสมอ
คนละคนกันเป็นเรื่องปกติที่จะเชื่อต่างกัน
แม้กระทั่งคนเดียวกัน บางครั้งเชื่อบางครั้งไม่เชื่อ
เรื่องของ “อารมณ์ ความรู้สึก” เป็นคลื่นอย่างหนึ่ง และ “สันติภาพในใจ” แผ่ออกไปป้องกันความเร่าร้อนที่ส่งกระแสมาจากภายนอกได้ ควรจะเชื่อหรือไม่
ให้ดูที่ประโยชน์ และโทษจากความเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น
ถ้าเชื่อ เราจะมุ่งสร้างความสงบเย็นให้กับตัวเอง ผลก็คือจิตใจที่สงบเย็นย่อมนำความสุขสงบมาให้
แต่ถ้าไม่เชื่อ ไม่ว่าความเร่าร้อนจากภายนอกจะแทรกเข้ามาในจิตเราได้หรือไม่ก็ตาม ความไม่เชื่อนั้นจะส่งผลให้เราไม่สร้างความสงบเย็นได้ด้วยตัวเอง และนั่นหมายถึงเสี่ยงที่จะถูกความเร่าร้อนครอบงำ
ทางไหนเป็นหนทางที่เอื้อต่อ “สันติภาพภายใน” มากกว่า
น่าจะเห็นได้ไม่ยาก