เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเคลื่อนไปด้วยการมาประกอบกันของหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งในแต่ละสิ่งละอย่างก็ยังประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ กระทั่งสิ่งที่ดูเหมือนจะเล็กสุดก็ยังประกอบเข้าด้วยสารพัดสิ่ง ดูจะไม่รู้จบ
เป็นธรรมดาอยู่ ไม่ว่าสิ่งใดๆ ย่อมมีความเปลี่ยนแปลง
ในองค์ประกอบใหญ่ เมื่อสิ่งหนึ่งในนั้นเปลี่ยนแปลงย่อมส่งผลให้สิ่งอื่นๆ ที่มาประกอบเปลี่ยนไปด้วย เปลี่ยนเป็นทอดๆ
สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นสภาวะที่ย่อมเกิดขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้
ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำใจให้ยอมรับความเปลี่ยนแปลงว่าเป็นธรรมดาของสรรพสิ่ง จิตใจของเขาย่อมเจ็บปวดกับการไม่เป็นอย่างไร
ที่แท้จริงไปกว่านั้นก็คือ ความเปลี่ยนเป็นเรื่องของสิ่งต่างๆ ส่งผลต่อกัน ไม่อยู่ในการควบคุมของสิ่งใดสิงหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่ทุกสิ่งส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงได้ทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้เอง หากใครคนใดคนหนึ่งเกิดความคิดว่าสามารถควบคุมความเป็นไปของอะไรต่ออะไร หรือแค่อะไรสักอย่างให้เห็นไปอย่างที่ตัวเองอยากให้เป็นได้
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความหลงผิด
จริงอยู่ในบางคราวบางหน คนคนนั้นอาจจะสามารถควบคุมได้ แต่นั่นเป็นแค่ความเหมาะเจาะพอดีที่เข้าไปจัดการให้ปัจจัยต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ตั้งใจไว้ได้เท่านั้น
ความเหมาะเจาะพอดีไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้ง และเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นเช่นนั้นทุกคราว เพราะความเปลี่ยนแปลงของแต่ละปัจจัยที่มาประกอบนั้นขึ้นอยู่กับความเปลี่ยนแปลงของปัจจัยย่อยลงไปไม่รู้จบ ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางใด
คนคนหนึ่งอาจจะรู้สึกว่าคนอีกคนหนึ่งมีมิตรภาพที่ดีงาม เข้าอกเข้าใจ พร้อมจะช่วยเหลือยามยากลำบาก พร้อมร่วมยินดีเมื่อชีวิตประสบกับความดีงาม
ถ้าเป็นไปได้ที่บางครั้ง กลับรู้สึกว่ามิตรภาพที่ดีงามนั้นไม่มีอยู่จริง
ความรู้สึกที่สัมผัสได้ถึงความเข้าอกเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และร่วมยินดีนั้น บางครั้งกลับเปลี่ยนไป
และบางทีเปลี่ยนไปจนกลายเป็นความรู้สึกว่าคนที่เชื่อว่ามีมิตรภาพที่ดีงามนั้นกลับมาทำร้ายความรู้สึกกันอย่างง่ายดาย
เมื่อไม่เคยมีมิตรภาพที่ดีงามกันมาก่อน
สภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะปัจจัยที่มาประกอบกันเข้าของมิตรภาพที่มีต่อกันนั้นเปลี่ยนไป
คนหนึ่งอาจจะมีแรงกดดันบางอย่างเกิดขึ้นกับอารมณ์ความรู้สึก ความคิด ความนึกของเขาไปอีกอย่างที่ไม่เหมือนกันที่ผ่านมา
เช่นเดียวกับอีกคนหนึ่งก็มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปในองค์ประกอบของชีวิต
ภาวะแห่งมิตรภาพที่เคยสัมผัสได้ จึงเปลี่ยนไป เหมือนเข้าใจกันไม่ได้อีกต่อไป
นี่เป็นความปกติของคน
และสภาวะที่แปรเปลี่ยนไปเช่นนี้ หากมองไม่เห็นว่าเป็นเรื่องปกติ ไปยึดถือไว้ว่าทุกอย่างจะเหมือนคงเดิม อาการเสียความรู้สึกก็จะเกิดขึ้น
และยิ่งเห็นว่าตัวเองมีอำนาจ มีความสามารถที่จะบังคับจัดการให้กลับมาเหมือนเดิม ความยุ่งยากที่เกิดขึ้นจะมากมายมาอีก เพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับปัจจัยย่อยๆ ลงไป เป็นเรื่องยากที่จะมองเห็น และจัดการควบคุมให้เป็นไปตามที่อยากให้เป็นได้ทั้งหมด
ดังนั้น หนทางที่ดีที่สุดสำหรับการอยู่กับเรื่องราวทั้งหลายในชีวิต ไม่ว่าจะมิตรภาพหรืออะไรก็ตาม
ต้องมีจิตใจที่สัมผัสถึงความเข้าใจที่ว่าสรรพสิ่งขับเคลื่อนไปด้วยความเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่างๆ ที่มาประกอบกัน
ทุกปัจจัยส่งผลต่อกัน สิ่งเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นแรงเสียดทานกดดันให้สิ่งอื่นๆ เปลี่ยนไปด้วย และภาพรวมอันเป็นผลจากการประกอบกันขึ้นของสิ่งต่างๆ เหล่านั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไป
ความเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในทุกสิ่ง
ไม่ว่าใครก็ตามเข้าไปสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยความอยากไม่ให้เปลี่ยนแปลง หรือไปยึดถือว่าเป็นสิ่งแน่นอน
ความอยากหรือความยึดถือนั้นจะทำให้ผิดหวัง เพราะไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปตามความอยากหรือความยึดถือ
ยิ่งความยึดถือว่าตัวเองสามารถจัดการให้เป็นตามความอยากได้อย่างแน่นอน ยิ่งเป็นเหตุที่จะก่อความทุกข์ร้อนเมื่อปัจจัยต่างๆ เกิดความเปลี่ยนแปลงและส่งผลต่อกันและกัน
แม้สามารถคิดได้ว่าจัดการได้ แต่การควบคุมธรรมชาติที่จะเปลี่ยนแปลงไปนั้นยากเย็น
ต้องใช้ความพยายามมากมาย
การยอมรับความเปลี่ยนแปลง เป็นความเป็นไปที่ไม่คงทนอยู่เป็นเรื่องปกติ ดูจะง่าย และทำให้ชีวิตเป็นอิสระมากกว่าการทุ่มเทที่จะทำให้ทุกอย่างคงอยู่กับที่ อย่างที่อยากให้เป็น
ในบางมิตรภาพเติบโตมาเป็นความอบอุ่น แต่แล้วแปรเปลี่ยนไปเป็นความผิดหวัง เจ็บปวด
แต่ในบางมิตรภาพดูว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้คาดหวัง แต่แล้วกลับให้ความรู้สึกที่งดงาม
เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา เป็นเรื่องปกติ
การไปยึดถือว่าแบบนั้นดี แบบนี้ไม่ดี เลยไปถึงฝากความดีไว้กับความเชื่อว่ามีสภาวะที่คงที่อยู่ต่างหาก ที่เป็นความไม่ปกติ
อยู่อย่างเข้าใจความเป็นไปของทุกสิ่งต่างหากคือ อิสระของชีวิต
อิสระอันหมายถึงไม่ผููกชีวิตโยงไปกับความเชื่อว่ามีอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง