เริงโลกด้วยจิตรื่น : มุมมองต่อฝัน ‘ที่ต่างไป’

เคยไหมที่ในบางเช้าถูกความฝันปลุกให้ตื่นขึ้นมาในอารมณ์หนึ่ง

เรื่องราวในความฝันน่าสะพึงกลัว ชวนให้หวั่นวิตก

หรือความเป็นไปในที่ฉ่ำชื่น ชวนให้ปริ่มเปรมยินดี

ในวันหนึ่ง เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเรื่องราวเลวร้ายที่คุกคามความรู้สึกนั้นเป็นเพียงความฝัน อารมณ์โล่งอกเกิดขึ้น

Advertisement

อาการโปร่งโล่ง มีความสุขเกิดขึ้นจากการได้รับรู้ว่าเรื่องที่รับรู้ในยามหลับนั้น ไม่มีอยู่ชีวิตยามตื่น

เช่นเดียวกันนั้น อาการเสียดาย ใจหาย เศร้าเซ็งเกิดขึ้นเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่า เรื่องราวงดงาม รื่นรมย์ใจนั้น เป็นแค่ฝันไปเมื่อไหลหลับ

ช่วงชีวิตที่วนเวียนอยู่กับเสียดายเมื่อตื่นจากฝันดี หรือโล่งใจเมื่อรู้ว่าเรื่องร้ายนั้นแค่ฝันในยามหลับในแต่ละคนนั้น ยาวนานต่างกัน บางคนตั้งแต่เด็กจนแก่เฒ่า

Advertisement

แต่ในบางคนไม่เป็นเช่นนั้น ด้วยการเรียนรู้บางอย่างทำให้เกิดความเชื่อว่า เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้น ไม่ว่าจะเป็นในฝันยามหลับ หรือดำเนินไปในยามตื่น ล้วนแล้วแต่มีที่มาที่ไป

ที่ปรากฏในยามหลับถูกนับว่าเกิดจากการคลี่คลาย ดำเนินไปในปมในใจ รูปแบบ และสาระของเรื่องราวปรุงแต่งไปตามปัจจัยต่างๆ ที่เคลื่อนไหว ปรุงแต่งอยู่ในจิตระดับต่างๆ

อาจนับเลยถึงความเชื่อมโยงของกระแสจิตที่ส่งคลื่นผ่านมาจากจิตอื่นๆ

เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ ขึ้นมา บางคราวเรียบง่าย บางทีพิสดารพันลึก เลวร้าย ดีงามไปตามแต่การปรุงแต่งในแต่ละครั้งคราว

บางห้วงเวลาฝันร้ายติดต่อกันหลายคืนหลายฝัน เช่นเดียวกับคราวจังหวะชีวิตเกิดฝันดีติดต่อกันหลายคืน

ล้วนเหนือการควบคุม

ในคนเหล่าหลังนี้ มีทรรศนะต่อความฝันไม่ต่างจากความเป็นไปอื่นในยามตื่น

เห็นว่าล้วนแต่มีเหตุที่ก่อการปรุงแต่งให้เกิดผล

ดังนั้น การคลี่คลายจากเรื่องเลวร้าย หรือการรักษาให้สิ่งดีงามคงอยู่ จึงต้องจัดการจูนเหตุปัจจัยให้เพื่อต่อภาวะที่ปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นในยามหลับ หรือยามตื่น

ด้วยเหตุนี้เอง ในคนกลุ่มนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นในความฝันเมื่อคืน จึงถูกนำมาวิเคราะห์ ตั้งจิตมองลึกลงไป เพื่อหาคำตอบว่าเกิดจากปมอะไรในใจ มีอะไรคอยทำการปรุงแต่งให้เป็นไป

และหาวิธีปัดเป่า ปลดระวางปมนั้นไปเสียจากใจ หรือไม่ก็หาทางประคับประคองรักษาไว้ หากเป็นปมที่ฝันที่ชวนฉ่ำชื่นใจ

ในทรรศนะเช่นนี้ ความเชื่อเรื่องการล้างปม เพื่อก่อ สะอาด สว่าง สงบ ในใจจะเกิดขึ้น เป็นปรารถนาต่อความสุขอย่างถาวร ไม่ไหวปลิวไปกับการแปรเปลี่ยนของเหตุปัจจัย

แต่ที่สูญเสียไปคือ ความโปร่งใจอย่างฉับพลันที่จะเกิดกับทรรศนะแบบแบ่ง เรื่องฝันยามหลับ ออกจากเรื่องที่เกิดขึ้นยามตื่น และไม่นับเอาความฝันว่าเป็นเรื่องจริง อันเป็นภาวะที่ปรับจิตสู่ความสุขได้ทันที

คำถามที่เกิดขึ้นคือ ทรรศนะแบบไหนดีกว่า

ระหว่างที่ปล่อยให้ฝันเป็นฝัน ตื่นขึ้นมาก็จบกัน กับที่หยิบความฝันมาไตร่ตรองเพื่อชำระจิตให้คลายจากปมซึ่งหมักหมมอยู่ใต้สำนึก

ทรรศนะที่ต่างกันนี้กำหนดทางเดินของชีวิตที่ต่างกัน

ใครที่รู้ได้ว่าตัวเองเลือกเดินทางไหน และเข้าใจคนที่เลือกเดินอีกทาง

คนคนนั้นก็คลี่คลายตัวเองจากความสับสนได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image