จริงๆ แล้วเรื่องราวของ “อินาโมริ คาซึโอะ” ผู้ก่อตั้ง และผู้บริหารเคียวเซร่า คอร์ปอเรชั่น บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเซรามิก และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีสาขากระจายอยู่หลายประเทศทั่วโลก
รวมทั้งประเทศไทย
และบริษัท เคดีดีไอ ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโทรคมนาคม อุปกรณ์ และเครื่องใช้สื่อสาร, ไฟฟ้า และอุปกรณ์ติดตั้งระบบ ซึ่งทั้งสองบริษัทต่างมีจุดเริ่มต้นมาจากธุรกิจเอสเอ็มอี
แต่ด้วยกลวิธีการบริหารจัดการของ “อินาโมริ คาซึโอะ” จึงทำให้ธุรกิจของเขาเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากครั้งหนึ่งผลประกอบการของทั้งสองบริษัทเคยมียอดขายสูงถึง 5 ล้านล้านเยน
ถามว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนั้นได้ ?
คำตอบคือเขามีความเชื่อส่วนตัวอย่างหนึ่งว่า…ผู้นำต้องมีความเป็นมนุษย์ที่ยอดเยี่ยม เพื่อให้ลูกน้องเคารพนับถือ ขณะเดียวกัน ก็ต้องพยายามทำเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้สำเร็จลุล่วง แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม แต่เราต้องตั้งใจอย่างแรงกล้า
กล่าวกันว่าความเชื่อดังกล่าวไม่เพียงถูกส่งต่อไปยังผู้บริหาร และเพื่อนพนักงานของทั้งสองบริษัท หากความเชื่อดังกล่าวยังถูกส่งต่อไปยังครอบครัวของพนักงานด้วย
เพราะขณะนั้นสภาพเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นกำลังประสบปัญหาฟองสบู่แตก โดยเฉพาะในช่วงปี 2540 ซึ่งคล้ายๆ กับประเทศไทย
แต่ปรากฏว่าธุรกิจของ “อินาโมริ คาซึโอะ” กลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย ตรงกันข้ามตลอดเวลากว่า 54 ปีที่เขาบริหารเคียวเซร่า บริษัทกลับไม่เคยขาดทุนแม้สักครั้งเดียว
ซึ่งเรื่องดังกล่าวจึงทำให้รัฐบาลญี่ปุ่น และองค์กรสนับสนุนเพื่อฟื้นฟูกิจการแจแปนแอร์ไลน์ (JAL) มีความสนใจในตัวเขา เพราะขณะนั้นสายการบินแห่งชาติญี่ปุ่นกำลังประสบปัญหาล้มละลาย
พวกเขาต้องการให้ “อินาโมริ คาซึโอะ” เข้ามาช่วยกอบกู้สถานะทางการเงินของสายการบิน เพราะมีหนี้สิ้นอยู่ประมาณ 2.3 ล้านล้านเยน
“อินาโมริ คาซึโอะ” ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร
หรือถ้าปรึกษา ทุกคนมักจะบอกไปในทางเดียวกันว่า…อย่าไปยุ่งเลย คุณเองก็อายุมากแล้ว ใช้ชีวิตหลังเกษียณไม่ดีกว่าหรือ
“อินาโมริ คาซึโอะ” ยอมรับว่าความเป็นห่วงของทุกคนเขาสัมผัสได้ แต่กระนั้น ก็มีอีกบางอย่างที่เขาอยากจะพิสูจน์ เพราะเดิมทีสายการบินแห่งนี้เป็นสายการบินที่เขาเกลียดที่สุด
เต๊ะก็เต๊ะ
ชอบดูถูกผู้โดยสารสัญชาติเดียวกัน
ทั้งยังชอบคิดว่าตัวเองทำงานดีกว่าคนอื่น
แต่กระนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่ได้ทำให้เขามองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป เพราะเขาคิดว่าการที่เขาตัดสินใจเข้ามานั่งในตำแหน่งประธานกรรมการเพื่อฟื้นฟู JAL ในปี 2553 เพราะเขาคิดอยู่ 3 เรื่องด้วยกันคือ
หนึ่ง ผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น
สอง การรักษาการจ้างพนักงานที่ยังทำงานอยู่กับ JAL
สาม การรักษาไว้ซึ่งความสะดวกสบายของประชาชน ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการ
โดยมีข้อแม้ว่า…ถ้าผมจะเข้ามาช่วยจริง ผมขอทำงานฟรี โดยไม่รับเงินเดือน แต่พวกคุณจะต้องทุ่มเทการทำงานอย่างเต็มที่
“อินาโมริ คาซึโอะ” ยอมรับว่าคำพูดของเขา อาจดูว่างเปล่าสำหรับคนที่ยังยึดติดอยู่กับวัฒนธรรมการทำงานแบบเดิมๆ
แต่เมื่อถึงวันที่เขารับตำแหน่ง และบอกทุกคนว่า…การจะทำแผนการใหม่ให้สำเร็จลุล่วง ขอเพียงทุกคนมีใจมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อ แล้วจงทุ่มเทความปรารถนา เอาใจใส่ และเอาจริงเอาจัง ทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
พร้อมกันนั้น เขามองว่าสิ่งแรกที่จะแก้ไขเป็นอันดับแรกคือการปฏิรูปจิตสำนึกของผู้บริหาร และพนักงานอย่างจริงจัง ด้วยการบอกเขาว่า…พวกคุณต้องยอมรับความจริงว่าตอนนี้บริษัทล้มละลายแล้ว
จากนั้นเขาจึงเรียกผู้บริหาร 50 คน มารวมตัวกัน พร้อมกับทำการอบรมการเป็นผู้นำอยู่ 1 เดือน โดยมีเป้าหมายให้พวกเขาเข้าใจแนวคิดที่จำเป็นต่อการบริหาร และวิถีแห่งการเป็นผู้นำ
ปรากฏว่าผู้บริหารเหล่านั้นเริ่มยอมรับในตัวเขา กระทั่งวันหนึ่งมีผู้บริหารบางคนเดินมาบอกเขาว่า…คุณได้สอนสิ่งที่ควรมีในฐานะมนุษย์ ฐานะผู้นำ และฐานะผู้บริหาร ซึ่งหากพวกผมรู้เร็วกว่านี้ JAL คงไม่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้
พร้อมกันนั้น พวกเขาก็บอก “อินาโมริ คาซึโอะ” ว่า…ผมอยากให้พนักงานอีก 3 พันคน อบรมแบบเดียวกับผมบ้าง เพื่อเขาจะได้ทราบถึงทิศทางในการแก้ปัญหาขององค์กร
“อินาโมริ คาซึโอะ” ยอมรับว่าเขาใจชื้นขึ้นอย่างมาก ที่เห็นพวกเขาตอบรับในสิ่งที่เขาพยายามทุ่มเท แต่กระนั้น ผลสัมฤทธิ์ทางตัวเลขยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์
เขาจึงตัดสินใจสร้างหลักปรัชญาการทำงานของ JAL Group ขึ้นมาใหม่ โดยบอกว่า…JAL จะพยายามทำให้พนักงานทุกคนมีความสุขทั้งทางวัตถุ และจิตใจ
“เราจะต้องนำเสนอบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า และเราจะต้องอุทิศตนเพื่อความก้าวหน้าของสังคม พร้อมกับเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กร ขณะเดียวกัน ก็จะต้องให้บริการที่ปลอดภัย น่าพึงพอใจ และสะดวกสบายเป็นอันดับหนึ่งในโลกแก่ลูกค้า อีกทั้งพนักงานทุกคนจะต้องตระหนักถึงผลกำไร และมีใจไม่ย่อท้อ เพื่อจะประกาศให้รู้ว่าเราได้ทำหน้าที่สมบูรณ์แบบในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในสังคม”
จนที่สุดผู้บริหาร และพนักงานทุกคนเริ่มตระหนักในเรื่องของแผนฟื้นฟูสายการบิน JAL โดยไม่มองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของ “อินาโมริ คาซึโอะ” เพียงคนเดียว
หากเป็นเรื่องของพนักงานทุกคน
ข้อพิสูจน์ตรงนี้ สังเกตได้จากพนักงานคนหนึ่งเดินมาบอกเขาว่า…ประธานกรรมการไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบริษัทเลย ยังพยายามถึงขนาดนี้ แล้วพวกเราล่ะ ก็จะต้องทุ่มเทมากกว่านี้สิ
จนที่สุดในปี 2554 ผลประกอบการปีแรกของการฟื้นฟู JAL มียอดขายถึง 1,362,200 ล้านเยน โดยมีกำไรจากการขาย 1,88,400 ล้านเยน
ปี 2555 แม้จะมีภัยพิบัติแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทางภาคตะวันออกของญี่ปุ่น แต่กลับทำยอดขายสูงถึง 1,204,800 ล้านเยน โดยมีกำไร 204,900 ล้านเยน พร้อมกันนั้นในปีเดียวกัน ยังจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์โตเกียว
จนทำให้ยอดขายในปี 2556 สูงถึง 1,208,800 ล้านเยน โดยมีกำไรอยู่ที่ 195,200 ล้านเยน
“อินาโมริ คาซึโอะ” บอกว่า…ความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับ JAL มาจากพนักงานทุกคน เพราะฉะนั้น ถึงเวลาที่ผมควรจะปล่อยมือให้พวกคุณบริหารต่อไปได้แล้ว
“เพราะความสำเร็จอยู่ในมือคุณมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ตอนนั้น คุณยังมองไม่เห็นเท่านั้นเอง”
คำพูดดังกล่าวเป็นคำพูดส่งท้ายที่ทำให้พนักงานของ JAL จดจำมาทุกวันนี้ ในทุกวันที่สายการบินแห่งชาติของญี่ปุ่นที่ครั้งหนึ่งกำลังจะล้มละลาย แต่มาวันนี้กลับสยายปีก JAL ผ่านน่านฟ้าของเมืองต่างๆ อย่างสมเกียรติ
จนกลายเป็นสายการบินแห่งชาติที่ชาวญี่ปุ่นภูมิใจมาจนทุกวันนี้