ผู้เขียน | สาโรจน์ มณีรัตน์ |
---|
จริงๆ แล้วเรื่องการทำเกษตรของประเทศไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก เพียงแต่อาจมีจุดบกพร่องอยู่บ้าง จนทำให้ผลผลิตของเกษตรกรไทยไม่สมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
ทั้งในเรื่องการเตรียมดิน การเพาะปลูก การใช้สารเคมี การเก็บเกี่ยว การบรรจุภัณฑ์ และการส่งออก ซึ่งเหตุผลเหล่านี้ทำให้ผลผลิตของเกษตรกรไทยไม่ถูกยอมรับในตลาดต่างประเทศ
ยิ่งเฉพาะการใช้สารเคมี
ทั้งๆ ที่ในปัจจุบันเกษตรกรหลายภาคส่วนของประเทศไทยหันมาใส่ใจในเรื่องการปลูกพืชผักปลอดสารพิษ ปลอดสารเคมี และการทำเกษตรอินทรีย์กันค่อนข้างมาก
แต่ทำไมถึงยังไม่ได้รับความนิยม?
ทั้งๆ ที่ตลาดมีความต้องการ
ผู้บริโภคอยากรับประทานอาหารปลอดภัย แต่ทำไมผลผลิตเหล่านี้จึงกระจุกตัวอยู่เฉพาะกลุ่ม เฉพาะชุมชน หรือถ้าถูกนำมาวางขายในมหานครกรุงเทพ
ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าระดับหรูราคาจะแพงมากไปกว่าความเป็นจริง ทำไปทำมาเกษตรกรไทยซึ่งเป็นต้นทางของการผลิตก็ยังลืมตาอ้าปากไม่ได้อยู่ดี
เพราะถูกกดราคา
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง หากผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อโดยตรงกับเกษตรกรเขาก็จะได้เม็ดเงินมากขึ้น ทั้งยังนำเม็ดเงินเหล่านี้ไปลงทุนในครั้งต่อๆ ไป
ที่สำคัญหลายรัฐบาลต่างเพิกเฉยต่อการทำเกษตรอินทรีย์
ทั้งที่เรื่องของเกษตรอินทรีย์สำคัญต่อประเทศ
ชาติมากๆ สำคัญไปกว่านั้น ปริมาณตัวเลขการทำเกษตรอินทรีย์ในบ้านเรามีเพียงไม่ถึง 1%
ถ้าเทียบกับปริมาณประชากรทั่วประเทศ
หรือถ้าเทียบกับปริมาณความต้องการของผู้บริโภคที่นิยมชมชอบการบริโภคพืช ผัก หรือข้าวอินทรีย์ เพราะฉะนั้น ถ้าคิดอย่างไม่ต้องใช้ตรรกะอะไรในทางเศรษฐศาสตร์อุปทานมีมากกว่าอุปสงค์
ที่สำคัญ หากคิดจะบุกเบิกธุรกิจแบบนี้เชื่อว่ายังไงก็ขายได้ เพราะผู้บริโภคมีจำนวนมากกว่าผู้ผลิต ซึ่งบนพื้นฐานหลักคิดนี้เองจึงทำให้ผมนึกถึงฟาร์มแห่งหนึ่งในเมืองโทกาเนะ จังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ที่มีโอกาสไปเมื่อไม่นานที่ผ่านมา
ตอนนั้นผมมีความรู้สึกว่าต้นทางระหว่างเขากับเราเหมือนกัน เพราะเขาเองก็ต้องการให้คนในครอบครัวทานอาหารปลอดภัย ปราศจากสารเคมี เขาจึงปลูกพืชผักตามฤดูกาลต่างๆ โดยไม่ใช้สารเคมีเลย
ซึ่งเกษตรกรบ้านเราก็คิดคล้ายกัน
แต่ที่แตกต่างคือเกษตรกรของเขาเป็นคนรุ่นใหม่ อายุเฉลี่ยประมาณ 30 ต้นๆ ที่สำคัญ พวกเขาเคยเป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนกับเรา แต่วันหนึ่งเขาเริ่มคิดได้ว่าชีวิตมนุษย์เงินเดือนในมหานครโตเกียวลำบากมาก
ตื่นเช้าต้องนั่งรถไฟไปทำงาน กลางวันพักเที่ยง จากนั้นก็ทำงานจนถึงค่ำ และก็นั่งรถไฟกลับบ้านในสภาพอิดโรย ซึ่งเขาไม่อยากใช้ชีวิตอย่างนี้อีกแล้ว
พวกเขาจึงปรึกษากันในฐานะเพื่อน
พร้อมกับปรึกษาภรรยาว่าเราจะกลับไปเป็นเกษตรกรที่บ้านดีไหม บางคนมีที่ดินเป็นของตนเองไม่ใช่เรื่องยาก แต่บางคนต้องเช่าที่ดินคนอื่นเขาทำ จึงเป็นอุปสรรคด่านแรก
ด่านที่สองพวกเขาไม่มีความรู้ทางการเกษตรเลยจะทำอย่างไร
ที่สุดพวกเขาจึงตัดสินใจไปหาความรู้ทางด้านการเกษตรจากแหล่งความรู้อื่นๆ บางส่วนก็หาข้อมูลจากโลกอินเตอร์เน็ต บางส่วนก็เรียนรู้จากเกษตรกรรุ่นปู่ ย่า ตา ยาย
จนเริ่มเกิดความมั่นใจ
สุดท้ายจึงรวมกลุ่มกันได้ทั้งหมด 11 คน ด้วยการไปเช่าที่ดินทั้งหมด 25 ไร่ เพี่อปลูกพืชผักอินทรีย์ โดย 5 คนแรกดูแลเรื่องการตลาด 6 คนที่เหลือดูแลการผลิต
แรกๆ เขายอมรับว่าล้มไม่เป็นท่า
แต่พอผ่านไปสักสองสามปีพวกเขาสามารถสร้างแบรนด์ฟาร์มไอโยะให้เป็นที่ประจักษ์สำหรับคนในเมืองโทกาเนะ เพราะนอกจากเขาจะส่งพืชผักตามฤดูกาลให้กับเกษตรกรโดยตรง
เขายังส่งตามร้านอาหารใกล้เคียงก่อน จนปัจจุบันพืชผักอินทรีย์ของเขาสามารถส่งไปขายยังร้านอาหารในชิบะ, โตเกียว, คานากาว่า และโอซากา รวมทั้งหมด 40 กว่าร้านที่ใช้ผลผลิตจากฟาร์มไอโยะเพื่อประกอบอาหารให้ลูกค้า
นอกจากนั้น พวกเขายังนำสินค้าไปขายตามตลาดนัดชุมชนต่างๆ ในวันเสาร์-อาทิตย์ ประมาณ 200 ครั้ง/ปี
จนทำให้ผลผลิตของฟาร์มไอโยะถูกพูดถึงในวงกว้าง
ที่ไม่เพียงเป็นแหล่งศึกษาของคนในชุมชน หากหลายประเทศทั่วโลกต่างเข้ามาศึกษาดูงาน เพื่ออยากรู้ว่ากุญแจความสำเร็จเกิดขึ้นจากอะไร
มูโรซูมิ เคนอิจิ ผู้ดูแลฝ่ายผลิตบอกว่า กุญแจความสำเร็จเกิดขึ้นจากเราเปิดเผยแหล่งที่มาที่ไปทุกอย่างเกี่ยวกับพืชผักแต่ละชนิด ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลในการเพาะปลูก ใครเป็นคนปลูก เก็บเกี่ยวเมื่อไหร่ และปลูกบริเวณใด สิ่งเหล่านี้จะถูกแปะบนฉลากไปยังสินค้าทุกชนิดเพื่อให้ผู้บริโภคทราบข้อมูลทุกอย่าง
ตรงนี้ไม่เพียงทำให้ผู้บริโภคบางส่วนเข้ามาดีลสินค้ากับเขาโดยตรง หากยังทำให้เกิดการสั่งซื้อสินค้า
เป็นล็อตใหญ่ๆ ด้วย
ขณะที่ ชิโนะ ยูซุเกะ ผู้ดูแลการตลาดบอกว่าการที่เราโปร่งใสทุกอย่างตั้งแต่ขั้นตอนของการเตรียมดิน เพาะปลูก เก็บเกี่ยว และบรรจุภัณฑ์ จึงทำให้มีลูกค้าให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง
จนทำให้ฟาร์มไอโยะสามารถสร้างยอดขายรวมประมาณ 30 ล้านเยน/ปี หรือประมาณ 10 ล้านบาท/ปี
ถามว่าคุ้มไหม?
คุ้มมากเขาบอก
เพราะนอกจากจะได้อยู่กับครอบครัว เขายังได้บริโภคพืชผักที่ปลอดสารพิษ สำคัญกว่านั้น ฟาร์มไอโยะยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนหนุ่มสาวหลายคนในประเทศญี่ปุ่นเริ่มอยากกลับบ้าน
เพื่อหันมาทำเกษตรอินทรีย์
เพราะปัจจุบันรัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่งจะคลอดกฎหมายใหม่ออกมาเพื่อสนับสนุนเกษตรกรที่ปลูกพืชปลอดสารเคมี โดยระยะพื้นที่ทุก 1,000 ตารางเมตร รัฐบาลจะช่วยเหลือเกษตรกรประมาณ 8,000 เยน/ปี
หรือเกษตรกรรายใดปลูกพืชปลอดสารเคมี และต้องการผู้จะมาฝึกงาน รัฐบาลจะให้เงินช่วยเหลือเดือนละ 1 แสนเยน เป็นเวลา 2 ปี สูงสุดไม่เกิน 2 คน/ฟาร์ม แต่ทั้งนั้นเกษตรกรรายนั้นๆ จะต้องมีประสบการณ์การทำฟาร์มอย่างน้อย 5 ปี
ตรงนี้คือจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ดีมากสำหรับเกษตรกรชาวญี่ปุ่น
ผมจึงอยากให้รัฐบาลไทยให้ความสนใจเรื่องเหล่านี้บ้าง
เพื่อเกษตกรไทยในวันนี้ และวันข้างหน้าพวกเขาจะได้ปลดแอกจากความยากจนเสียที
คุณเห็นด้วยกับผมไหม?