ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | พนิดา สงวนเสรีวานิช - เรื่อง ปานตะวัน รัฐสีมา - ภาพ |
เพราะน้ำตาลเป็นตัวการสำคัญให้เกิดโรคไม่ติดต่อต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง หัวใจ เบาหวาน รวมทั้งโรคฟันผุ ฯลฯ
ในบ้านเรามีการรณรงค์ให้บริโภคน้ำตาลแต่พอเหมาะ ไม่เกินวันละ 8 ช้อนชา หรือ 40 กรัม ถ้าในเด็กอยู่ที่ 6 ช้อนชา ซึ่งตัวเลขนี้ต้องไม่ลืมว่าเราจะได้รับน้ำตาลจากในอาหารแต่ละมื้อ ในข้าวในผักและผลไม้อยู่แล้ว
ยิ่งในเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกแนะนำว่าไม่ควรบริโภคเกิน 20 กรัมต่อวันด้วย
แน่นอนว่าถ้าบริโภคเกินยังไม่ถึงกับเป็นอันตรายในทันที แต่มีการสะสมอยู่ในตับ และนานวันเข้าบรรดาโรคต่างๆ ก็จะดาหน้ากันเข้ามา
แต่ทว่ามีน้ำตาลธรรมชาติอยู่ชนิดหนึ่งที่ได้รับการยอมรับว่าปลอดภัยที่สุด ณ ขณะนี้
ที่น่าสนใจคือ ไม่เพียงไม่ทำร้ายฟันผุ แต่ยังช่วยป้องกันฟันผุอีกด้วย!
‘ไซลิทอล’น้ำตาลป้องกันฟันผุ
สำหรับคนไทยอาจพอคุ้นหูกับไซลิทอลในหมากฝรั่ง ซึ่งจะให้ได้ประสิทธิผลจริงๆ ต้องมีส่วนผสมมากกว่า 50%
ทว่าไซลิทอลยังใช้แทนที่น้ำตาลในขนมหรืออาหารหลายๆ ชนิดได้ โดยที่แม้จะรสชาติความหวานเท่าเดิมแต่ให้แคลอรี่น้อยกว่าน้ำตาลเกือบครึ่งหนึ่ง ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่ว่า อัตราการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเพียง 7 เปอร์เซ็นต์
“ไซลิทอลเป็นน้ำตาลแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่งที่มีค่าไกลซิมิกอินเด็กซ์ โดยเทียบกับกลูโคส ถ้ากินกลูโคส 100 น้ำตาลในเลือดจะขึ้น 100 แต่ถ้ากินไซลิทอล 100 น้ำตาลในเลือดจะขึ้นแค่ 7 แปลว่ามีอัตราการดูดซึมค่อนข้างน้อย หรือแทบไม่มีผลในกระแสเลือดเลย”
ทพญ.อุษณีย์ พฤกษ์กานน์ หรือ “หมออุ๊” เจ้าของ ร้านอาหาร “ไซลิพลัส” (Xyili+Plus ร่วมกับ ทพ.ดร.สุวชัย หรือ “หมอแซม” ผู้สามี อธิบายและเล่าถึงที่มาของการเปิดร้านอาหารเพื่อคนรักสุขภาพฟันว่า มีความคิดที่จะเปิดร้านมาตั้งแต่ปี 2555 ความที่เป็นทันตแพทย์มาเป็นสิบปี ยิ่งในส่วนของคนไข้เด็กพบปัญหาฟันผุค่อนข้างมาก
“การจะไปบอกให้เด็กๆ เปลี่ยนพฤติกรรม ไม่กินขนมเป็นเรื่องยาก” หมออุ๊บอก
“แต่เดิมเราแนะนำคนไข้ว่า หลังจากรับประทานอาหารแล้วให้แปรงฟัน เป็นวิธีที่ง่ายสุด แต่ไม่มีใครทำได้ ส่วนใหญ่แปรงเช้า/เย็น แต่บางคนชอบกินจุบจิบ กินขนม กินกาแฟ ทำให้คนที่แม้จะแปรงฟันหลังอาหาร ใช้ไหมขัดฟัน แต่ก็ยังฟันผุ”
ขณะที่คนไข้ส่วนหนึ่งของหมอแซมเป็นคนสูงวัย รวมทั้งกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งช่องปากที่ได้รับผลข้างเคียงจากการฉายแสงคือจะมีน้ำลายน้อยกว่าปกติ ทำให้ภายในช่องปากเป็นกรดระยะยาว แม้จะอุดฟันก็กร่อนเร็ว
บังเอิญว่าหมอแซมเกิดอุบัติเหตุต้องเข้าเฝือก ไปทำงานไม่ได้เป็นเดือน ความที่เป็นนักวิชาการด้วย เมื่อเกิดคำถามขึ้นในใจว่า จะมีวิธีอื่นที่จะช่วยป้องกันฟันผุหรือไม่ จึงเริ่มค้นข้อมูล…
และพบว่า “ไซลิทอล” คือคำตอบ
“ไซลิทอล” เป็นน้ำตาลที่สกัดได้จากไม้เบิร์ช เป็นที่รู้จักตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังเป็นที่นิยมในประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป โดยทันตแพทย์สมาคมในสหรัฐอเมริกาประกาศรับรองอย่างเป็นทางการ ในปี 2010
“ปัจจัยของการทำให้ฟันผุมี 3 อย่างคือ แบคทีเรีย อาหาร และเวลา เราสามารถป้องกันฟันผุได้ ถ้าเราลดแบคทีเรียได้ ซึ่งวิธีการควบคุมแบคทีเรียก็คือ อมน้ำยาบ้วนปาก แปรงฟันที่มีฟลูออไรด์ แต่ที่ฝรั่งกำลังนิยมคือไซลิทอล เพราะแบคทีเรียในปากจะกินไซลิทอลเนื่องจากคิดว่าเป็นฟรุกโตส แต่มันย่อยไซลิทอลไม่ได้ เมื่อไม่มีน้ำย่อยผนังเซลล์ของมันจะเหี่ยวลง ขยายพันธุ์ไม่ได้ และตายในที่สุด”
ฉะนั้นวิธีป้องกันฟันผุ ถ้าไม่แปรงฟันทุกครั้งหลังกินอาหารก็คือกินไซลิทอล เมื่อควบคุมแบคทีเรียได้ กรดไม่เกิด ฟันก็ไม่ผุ โดยปริมาณต่อวันที่จะเป็นผลคือ 10 กรัม แบ่งเป็น 5 มื้อ หลังอาหารทุกครั้ง หรือระหว่างมื้ออาหารที่กินจุบจิบ ก็จะป้องกันฟันผุได้
ดราม่า น้องหมากินไม่ได้
ไซลิทอลได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก อย.สหรัฐอเมริกาว่าสามารถใช้ได้ พร้อมกับคำแนะนำว่าไม่ควรกินเกิน 80 กรัม หรือประมาณ 5 ช้อนโต๊ะต่อวัน
แต่ถามว่าถ้ากินในปริมาณที่มากเกินจะเกิดอะไรขึ้น?
“เข้าห้องน้ำครับ” เพราะไซลิทอลถ้ากินมากเกินมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ
เนื่องจากค่าการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเพียง 7 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือก็จะไปตามระบบ ซึ่งไซลิทอลนั้นเป็นพรีไบโอติก คือเป็นอาหารที่ดีของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ใหญ่ เมื่อมันดูดน้ำจากลำไส้จะกลายเป็นมวลก้อนใหญ่ เพราะในลำไส้ไม่มีน้ำย่อยไซลิทอล สุดท้ายต้องระบายออกทางทวาร
“อีกจุดที่เราคำนึงถึงคือ การสะสมในตับ ไซลิทอลมีน้ำตาล 5 โมเลกุล ขณะที่น้ำตาลอ้อยมี 6 โมเลกุล ในร่างกายของเราจะดูดซึมน้ำตาล 5 โมเลกุลก่อน และไม่มีการสะสมในร่างกาย จึงเป็นน้ำตาลดีที่สุดและแพงที่สุดของมนุษย์ในตอนนี้”
ขณะเดียวกันก็ไม่เคยมีรายงานการแพ้ไซลิทอลในมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์กินพืช ซึ่งในข้าวโพดหรือเบอรี่ก็มีไซลิทอล ฉะนั้นไม่น่าจะมีใครแพ้ไซลิทอล
“เราต้องดูที่ความปลอดภัยก่อน แต่ก็ต้องอร่อยด้วย” หมอแซมบอกยิ้มๆ
แล้วถ้าเป็นน้องหมาน้องแมวล่ะ?
หมอแซมว่า ถ้าเป็นสัตว์กินพืชสามารถกินไซลิทอลได้ แต่ในสัตว์กินเนื้อจะไม่มีน้ำย่อยไซลิทอล ฉะนั้น สุนัขและแมวถ้ากินไซลิทอลอาจปรากฏอาการเดินเซ เพราะมันทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ แต่ไม่ถึงกับเสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม ถ้ากินในปริมาณน้อยๆ ร่างกายสามารถขับออกมากับฉี่และอึได้ตามปกติ
จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีเสียงท้วงจากบางคนว่าไซลิทอลน้องหมากินไม่ได้ แต่ถ้าคิดบนใจที่เป็นธรรม มีหลายสิ่งที่มนุษย์กินได้แต่น้องหมากินไม่ได้ เช่น ช็อกโกแลต ถั่ว องุ่น ฯลฯ
จากร้านคนรักสุขภาพฟัน
กลายเป็นร้าน’เบาหวานทานได้
ดังที่กล่าวมาในเบื้องต้นว่า “ไซลิพลัส” เกิดขึ้นเพื่อเป็นอีกทางเลือกของคนที่รักสุขภาพฟัน
จากผลิตภัณฑ์แรกๆ ที่ผลิตขึ้นเพื่อให้คนไข้ที่มาใช้บริการด้านทันตกรรมที่ร้านคือเกล็ดอมไซลิทอลและน้ำยาบ้วนปาก หมอแซมเล่าว่า ในเมื่อหมออุ๊ชอบทำขนมอยู่แล้ว และจะทำแจกในช่วงปีใหม่ น่าจะลองทำขนมโดยใช้ไซลิทอลแทนน้ำตาล เพราะแม้ขนมบางอย่างจะไม่ได้ช่วยป้องกันฟันผุ เช่น เค้ก หรือช็อกโกแลต เพราะยังมีส่วนผสมของแป้ง ฯลฯ แต่อย่างน้อยก็ไม่เป็นสาเหตุให้ฟันผุ
กระบวนการค้นคว้า วิจัย และทดลองจึงเกิดขึ้นโดยมีห้องครัวในบ้านเป็นห้องปฏิบัติการ ค่อยๆ พัฒนาผลิตภัณฑ์เรื่อยมา รวมทั้งผ่านการรับรองมาตรฐานจาก อย.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“สูตรอาหารของ ‘ไซลิพลัส’ เราจะถอดน้ำตาล ถอดไขมัน แล้วใส่กลุ่มน้ำตาลไซลิทอล หญ้าหวานเข้าไปแทน ไขมันก็จะใส่กลุ่มไฟเบอร์เข้าไปแทน ฉะนั้นของหวานก็จริง แต่แคลอรี่จะลดลงไปพอสมควร เช่น เค้ก แคลอรี่จะลดลงไปครึ่งหนึ่งของปกติตามที่ส่งไปตรวจที่สถาบันอาหาร”
กระทั่งปัจจุบันร้านไซลิพลัสมีอาหารทั้งคาวหวานให้บริการกว่า 40 รายการ รวมทั้งเครื่องดื่มชา/กาแฟ
ตัวอย่างเช่น ในชาเขียวสูตรผสมไซลิทอลจะมีไซลิทอลไม่เกิน 10 กรัม พอดีกับ 1 มื้อ และมีแคลอรี่น้อยกว่าน้ำตาลเกือบครึ่ง
แน่นอนว่าลูกค้าของร้านอาหารส่วนหนึ่งมาจากสายทันตกรรม
แต่อีกกลุ่มกลับเป็นคนที่รักสุขภาพ โดยเฉพาะคนที่มีน้ำตาลในเลือดสูง กลุ่มคนที่คุมเบาหวาน รวมทั้งเด็กนักเรียน และที่มาเป็นครอบครัวก็เข้ามาใช้บริการ
“มีลูกค้ารายหนึ่งควบคุมเบาหวานอยู่เข้ามาใช้บริการที่ร้าน แล้วโทรกลับมาขอบคุณใหญ่ว่า ดีใจมากที่มีอาหารที่กินได้เพิ่มมากขึ้น” คุณหมอแซมเล่าอย่างมีความสุข
“ตอนแรกที่เราทำเค้ก เราวางกลุ่มเป้าหมายที่คนรักสุขภาพฟัน ทำไปมา คนไทยไม่ค่อยรักสุขภาพฟัน เพราะฟันผุไม่ถึงกับตาย ตอนที่เราไปออกบูธไอศกรีม กินแล้วฟันไม่ผุ มีคนถามว่าเบาหวานทานได้มั้ย พอบอกทานได้ กลายเป็นกลุ่มคนสนใจทานอาหารพวกนี้เป็นกลุ่มที่เป็นเบาหวาน เพราะกลุ่มนี้ชอบทานหวานอยู่แล้ว” หมออุ๊บอก
เพราะ “คนเราอดความหวานยังยากอยู่ บางคนอาจจะบอกว่าอดได้ ใช่ แต่มันเป็นความสุขของชีวิต”