ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
เผยแพร่ |
ข่าวร้ายส่งท้ายปี มีไม่เว้นแต่ละวัน ตั้งแต่การปิดโรงงานขนาดใหญ่ลอยแพคนงานนับพันรายให้เคว้งคว้าง กระทั่งการตัดสินใจจบชีวิตของนักธุรกิจน้อยใหญ่ ทิ้งจดหมายร่ำลาและขอโทษครอบครัวก่อนจากโลกนี้ไป เป็นเรื่องราวน่าสลดใจที่ไม่ควรเกิด แต่ก็เกิดขึ้นจริง
ไม่เพียงเท่านั้น บางกิจการส่อเค้าเป็นเรื่องราวที่ถูกตั้งคำถามว่าอาจไม่ได้ “เจ๊ง” จริง แต่ใช้เทคนิคเชิงธุรกิจเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง หวังเซตซีโร่แบบโนสนโนแคร์ ซึ่งก็เป็นประเด็นที่ต้องติดตามกันต่อไป
แน่นอนว่ากลไกและฟันเฟืองสำคัญในภาคธุรกิจเหล่านี้ หนีไม่พ้น “แรงงาน” ทั้งคนไทย และชาวต่างชาติซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน
ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ทรุดหนัก จะมีหลักประกันใดๆ ให้หัวใจของผู้ใช้แรงงานที่เต้นไม่เป็นส่ำในปีนี้ ได้ชุ่มชื่นหัวใจในปี 2563 และปีต่อๆ ไปได้บ้าง ?
เมื่อไม่นานมานี้ เครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ (MWRN) ร่วมกับ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย สมาพันธ์ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งประเทศไทย และสหภาพข้าราชการและคนทำงานภาครัฐ จัดเสวนา “สถานการณ์แรงงานไทย แรงงานข้ามชาติ ต่อสิทธิการร่วมตัวเจรจาต่อรอง”
มีแง่มุมน่าสนใจที่ทั้งภาครัฐและสังคมไทย ควรเปิดใจรับรู้
อนุสัญญา ILO “อาเซียน” รับรอง
ทำไม “ไทย” ไม่ยอมรับ ?
เริ่มต้นที่ สมพร ขวัญเนตร ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ซึ่งเกริ่นนำถึงสภาพการณ์ปัจจุบันของชนชั้นแรงงานทั้งคนไทยและแรงงานข้ามชาติว่า แม้แรงงานเป็นกลุ่มคนที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่มีความสำคัญสมควรได้รับการดูแลจากรัฐบาล แต่นายจ้างกดขี่และเอารัดเอาเปรียบคนงานตลอดมา โดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติ จนประเทศไทยถูกต่างชาติตราหน้าว่าเป็นประเทศที่มีการค้ามนุษย์ ถูกตัดสิทธิพิเศษทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา
“ที่ผ่านมาคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยผลักดันให้รัฐบาลรับรองสิทธิตามอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 ว่าด้วยสิทธิการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง แต่ประเทศไทยยังไม่ได้รับรองทั้งที่ประเทศในอาเซียนรับรองกันหมดแล้ว ปัจจุบันแรงงานข้ามชาติไม่มีสิทธิตั้งสหภาพ ถือเป็นการคุกคามและละเมิดสิทธิแรงงาน และอาจทำให้ไทยถูกตัดสิทธิพิเศษจากอีกหลายประเทศ เราจึงต้องขับเคลื่อนร่วมกันเพื่อให้รัฐบาลรับรองสิทธิตามมาตรฐานสากลต่อไป โดยเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่ประเทศไทยจะไม่รับรองอนุสัญญาแรงงาน แล้วยอมโดนกีดกันทางการค้า” สมพรกล่าว
ด้าน สุพจน์ พงษ์สุพัฒน์ ประธานสหภาพข้าราชการและคนทำงานภาครัฐ เปิด พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ ปี 2518 ออกมาชี้ชัดว่า ไม่ได้ห้ามแรงงานข้ามชาติในการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน แต่จะเป็นกรรมการไม่ได้ ทำให้แรงงานข้ามชาติไม่มีโอกาสเข้าไปเป็นผู้เจรจาต่อรอง ส่วนการร่วมเจรจาหารือและการเข้าชื่อยื่นข้อเรียกร้องนั้นกฎหมายไม่ได้จำกัดไว้ แต่ที่ผ่านมาแรงงานข้ามชาติจะมองเรื่องความมั่นคงในการทำงานมากกว่าการใช้สิทธินี้
“การมีกฎหมายที่ไม่คงเส้นคงวาและไม่ครอบคลุม ทำให้เกิดการขูดรีดแรงงานข้ามชาติ เครือข่ายแรงงานจึงต้องทำงานร่วมกันและให้ความคุ้มครองผู้ใช้แรงงานข้ามชาติ โดยต้องมีองค์กรภาครัฐหรือรัฐวิสาหกิจเข้าไปเป็นเครือข่าย เพื่อให้การขูดรีดและการเอารัดเอาเปรียบลดลง” สุพจน์ชี้ทางแก้
ลุยต่อรองรัฐ
หวั่น “แรงงานนอกระบบ” ปมไร้สิทธิ
มาถึง อองจอ ประธานเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ ที่เปิดใจว่า การไม่รับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 ทำให้แรงงานข้ามชาติที่อยู่ในไทยถูกเอารัดเอาเปรียบนานา ไม่ได้สิทธิต่างๆ ที่ควรจะได้ เช่น เมื่อเกิดอุบัติเหตุในที่ทำงานก็เข้าไม่ถึงประกันสังคม ทางองค์กรจึงจะเป็นตัวแทนในการต่อรองกับภาครัฐเพื่อรับรองสิทธิแรงงานข้ามชาติให้มีชีวิตที่ดีขึ้น
“ที่ผ่านมาเราประสบความสำเร็จในโรงงานแห่งหนึ่งที่มีคนงานราวหนึ่งหมื่นคน โดยใช้ช่องทางตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ รวบรวมแรงงานข้ามชาติเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานในโรงงานนั้นได้ 2,300 คน มี 6 ข้อเรียกร้องและสำเร็จ 2 ข้อ เนื่องจากกระบวนการต่างๆ ติดขัด เช่น แรงงานข้ามชาติไม่สามารถเป็นคณะกรรมการสหภาพได้ การต่อรองก็มีสถานทูตเข้ามายุ่งเกี่ยวทำให้ไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องได้ทั้งหมด” อองจอถอดบทเรียน
ในขณะที่ สุจิน รุ่งสว่าง ประธานสมาพันธ์ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งประเทศไทย เปิดเผยลงลึกถึงกลุ่มต่างๆ ของแรงงานนอกระบบ ว่ามี 2 กลุ่ม คือ รับงานมาทำที่บ้านและอาชีพอิสระทั่วไปที่ไม่มีนายจ้าง โดยล่าสุดมีตัวเลข 21.6 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันน่าจะมีจำนวนมากกว่านี้ แต่กฎหมายที่คุ้มครองแรงงานนอกระบบหลายมาตรายังคุ้มครองไม่ได้จริง
“แรงงานนอกระบบไม่มีสิทธิตั้งสหภาพ เราแก้ปัญหาโดยการรวมกลุ่มอาชีพ ยกระดับเป็นเครือข่ายอาชีพและเครือข่ายระดับพื้นที่ ระดับภาค จนเป็นสมาพันธ์แรงงานนอกระบบแห่งประเทศไทย เพื่อผลักดันสิทธิการเข้าถึงประกันสังคมและกฎหมายที่คุ้มครองแรงงานนอกระบบให้ใช้ได้จริง เช่น สิทธิการเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ สิทธิการรักษาผลกระทบที่เกิดจากการทำงาน และมีการตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนจากแรงงานข้ามชาติ เช่น ผลกระทบจากการเข้าไม่ถึงสิทธิการรักษาพยาบาล ลูกเข้าไม่ถึงการศึกษา และมีการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำไปสู่ข้อเรียกร้องต่อไป” สุจินสรุป
“ฟ้องปิดปาก” การคุกคามรูปแบบใหม่
ลูกจ้างข้ามชาติ-คนงานไทย ในความ “หวาดระแวง”
ปีย์ กฤตยากีรณ ผู้จัดการโครงการโซลิดาริตี้เซ็นเตอร์ ประเทศไทย (SC) กล่าวว่า เมื่อมีการเรียกร้องให้รับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 ที่ทำให้แรงงานต่างชาติตั้งสหภาพแรงงานได้ มักมีความกังวลว่าจะให้สิทธิแรงงานข้ามชาติเท่ากันหรือมากกว่าแรงงานไทยไม่ได้ ทั้งที่แรงงานข้ามชาติไม่ใช่ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิหนักที่สุดจากการไม่มีอนุสัญญานี้ เพราะแรงงานนอกระบบเองก็ไม่มีสิทธิเข้าร่วมสหภาพแรงงาน ลูกจ้างชั่วคราวภาครัฐก็ถูกห้ามไม่ให้รับเงินสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำของเอกชน เมื่อกฎหมายไม่รับรองสิทธิในการรวมตัวและเจรจาต่อรองทำให้แรงงานถูกละเมิด จึงต้องเข้าใจว่าอนุสัญญานี้ไม่ได้คุ้มครองเฉพาะแรงงานข้ามชาติ แต่จะช่วยแก้ปัญหาการละเมิดแรงงานไทยด้วย
“เดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีข่าวว่ากระทรวงแรงงานสนับสนุนให้แรงงานไทยในสวีเดนเข้าร่วมสหภาพแรงงานสวีเดน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของแรงงานไทย เท่ากับเขาเปิดโอกาสให้คนไทยในฐานะแรงงานต่างชาติเข้าร่วมสหภาพแรงงานและมีสิทธิเท่าแรงงานสวีเดน ขณะที่แรงงานข้ามชาติในไทยไม่มีสิทธิตั้งสหภาพ หากบริษัทนั้นไม่มีแรงงานไทยก็จะไม่มีสหภาพให้แรงงานข้ามชาติเข้าร่วม” ปีย์แจงปมอย่างละเอียดลออ
ปิดท้ายด้วย ณัฐธิดา ชูมาลัยวงค์ จากสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ที่ออกมายืนยันว่าสิทธิการรวมกลุ่มเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ แต่ปรากฏว่าเมื่อแรงงานใช้สิทธิแล้วกลับถูกคุกคามจนถึงถูกเลิกจ้าง ระยะหลังมีการคุกคามรูปแบบใหม่คือใช้กฎหมายคุกคามคนที่ออกมาเรียกร้องยื่นข้อร้องเรียน หรือการฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP) บริษัทเอกชนใช้วิธีนี้เพื่อให้คนที่ร้องเรียนยุติการแสดงความเห็นและไม่พยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นการสร้างความกลัวด้วยกระบวนการยุติธรรม ซึ่งส่งผลถึงระดับสังคม เพราะการจะพัฒนาประเทศได้ คนต้องออกมามีส่วนร่วมทางการเมือง
“การฟ้องปิดปากกรณีแรงงานในไทยมีจำนวนมากเช่นกัน นอกจากสร้างความกลัวให้ลูกจ้างแล้วยังสร้างความกลัวให้คนที่จะออกมาเรียกร้องสิทธิแทนลูกจ้างด้วย” ณัฐธิดากล่าว
เป็นสถานการณ์ปัจจุบันที่ไม่ได้น่าหวั่นใจแค่เศรษฐกิจที่ทรุดหนัก หากแต่สิทธิแรงงานของคนเหล่านี้ยังมีประเด็นมากมายที่ภาครัฐต้องเปิดใจรับฟัง
4 ข้อเสนอต่อรัฐบาล
หวังแรงงานมีชีวิตที่ดีกว่า
เครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ (MWRN) คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย สมาพันธ์ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งประเทศไทย และสหภาพข้าราชการและคนทำงานภาครัฐ มีข้อเสนอต่อรัฐบาล ดังนี้
1.ขอให้รัฐบาลปฏิรูปพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์และพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เพื่ออนุญาตให้คนงานทุกคน มีสิทธิที่จะจัดตั้งและเป็นกรรมการสหภาพแรงงาน มีสิทธิในการเจรจาต่อรองร่วม โดยไม่มีการแบ่งแยกและเลือกปฏิบัติ กฎหมายควรให้การคุ้มครองทางกฎหมายกับสิทธิเหล่านี้ เพื่อให้คนงานสามารถใช้สิทธิเหล่านี้โดยไม่ต้องหวาดกลัวหรือไม่ต้องถูกตอบโต้
2.ขอให้รัฐบาลรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 ทั้ง 2 ฉบับ เพื่อให้คนงานทุกคนทุกกลุ่มสามารถรวมกลุ่มเป็นสหภาพแรงงานอย่างมีเสรีภาพตามหลักสิทธิขั้นพื้นฐานในระดับสากล
3.ขอให้รัฐบาลตรวจสอบค่าใช้จ่ายการนำเข้า MOU แรงงานข้ามชาติที่สูงเกินกว่าที่พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวกำหนดไว้ ซึ่งในปัจจุบันยังมีสถานประกอบการจำนวนไม่น้อยที่เรียกเก็บเงินจากแรงงานที่เป็นจำนวนที่สูงกว่าพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวได้กำหนดไว้
4.ขอให้ยกเลิกการเอาผิดทางอาญากับความผิดฐานหมิ่นประมาท และออกกฎหมายเพื่อต่อต้านการฟ้องคดียุทธศาสตร์เพื่อขัดขวางการมีส่วนร่วมสาธารณะ (SLAPP) เพื่อประกันว่าคนงานและนักปกป้องสิทธิแรงงานจะไม่ตกเป็นเป้าการฟ้องคดีทั้งทางอาญาและทางแพ่ง หากมีการใช้สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิที่จะแสดงความเห็นต่อต้านการปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิแรงงาน