For a Song ท่องโลกผ่านเพลง : RAINDROPS KEEP FALLING ON MY HEAD ฝนหล่นบนผมตีโป่ง

ความจริงนักเพลงสมัย 70s บางคนเขาเรียกเพลง Raindrops Keep Falling on My Head ว่า “ฝนหล่นบนกบาล” แต่เผอิญเพิ่งเห็นเรื่องราวของคุณยาย Margaret Heldt ผู้ค้นคิดทรงผม “ตีโป่ง” ตั้งแต่ต้น ค.ศ.1960 เลยอดนึกถึงภาพสายฝนที่หล่นบนผมตีโป่งของสาวๆ ในอดีตไม่ได้

ฝนหล่นบนผมตีโป่งที่เกิดจากการยีผมและฉีดสเปรย์ไว้อย่างหนา จะก่อให้เกิดอาการคันอย่างหนัก ทรงโป่งพาลฟุบตัวลง เป็นความทุกข์อย่างสาหัสของผู้หญิงในโลกสมัยคุณยายยังสาว เพราะเข้าร้านทำผมแล้วจะต้องพยายามให้อยู่ได้เป็นอาทิตย์ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ

คุณมาร์กาเร็ต เฮลด์ ผู้คิดผมทรงตีโป่ง เป็นคนอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียน เธอเป็นช่างทำผมชื่อดังที่มีร้านใหญ่โตอยู่ในเมืองชิคาโกตั้งแต่สมัยอเมริกายังมีประธานาธิบดีชื่อ ดไวท์ ดี. ไอเซ่นฮาวร์ คุณมาร์กาเร็ตชนะการประกวดทำผมหลายครั้ง ชื่อเสียงขจรขจายขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนรางวัล ความดังทำให้เธอมีผลงานปรากฏเป็นประจำอยู่ในแม็กกาซีน Modern Beauty Shop ซึ่งแพร่หลายในหมู่ร้านทำผมทั้งในและนอกสหรัฐ

เมื่อครั้งคุณยายยังสาวไม่มีทางจะได้ดูแฟชั่นจากสื่ออื่นนอกจากสิ่งตีพิมพ์ แม็กกาซีนแบบเสื้อแบบผมจึงเป็นของที่ขาดไม่ได้ ต่างจากทุกวันนี้ที่ความสำคัญของแม็กกาซีนมีแต่จะลดน้อยลงไป

Advertisement

ต้นยุค 60s บก.ของโมเดิร์น บิวตี้ ช็อป บ่นกับคุณมาร์กาเร็ตว่าไม่มีผมทรงใหม่ๆ ออกมาเลย มีแต่ผมบ๊อบ ผมทรงสวอนที่ปลายงอนเช้ง ไปจนผมมวยซึ่งล้วนน่าเบื่อ อยากให้เธอช่วยคิดทรงผมแปลกใหม่ให้ดังระเบิดสักครั้ง

ช่วงนั้นสเปรย์ที่ช่วยจัดทรงผมยังเป็นของใหม่มาก ทั้งช่างทำผมและลูกค้าปลื้มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ว่า เพราะช่วยให้ทรงอยู่ทนทานโดนลมก็ไม่กระดิก คุณมาร์กาเร็ตรู้ดีว่าจะทำผมทรงมหัศจรรย์อะไรก็ได้ ตราบเท่าที่มีสเปรย์ช่วยเหลือ

ว่าแล้ว เธอก็ลองทำผมให้เหมือนกับหมวกใบโปรด โดยใช้วิธีหวีจากปลายย้อนมาทางด้านโคนของผม ซึ่งเรียกว่า back-comb หรือ tease แล้วหวีกลบด้านบนให้เรียบร้อย ทำอย่างนี้แล้วทรงผมจะป่องพอง อะร้าอร่ามเท่าใดก็ได้เพราะมีสเปรย์ช่วยให้อยู่ตัว ทรงแรกๆ ที่คุณมาร์กาเร็ตทำ ผมด้านบนพองกลมเหมือนเทินหมวกใบโปรดของเธอไว้บนหัว มองดูพิลึกพิลั่นแต่ผู้หญิงเกือบทั้งโลกกลับเห็นสวย พากันตามแฟชั่นที่ว่ากันเป็นแถว

Advertisement

คุณมาร์กาเร็ตออกแบบเสร็จแล้วก็หยิบเข็มกลัดรูปผึ้งปักลงไปบนผมพองกลม พวกกอง บก.แม็กกาซีนเห็นแล้วร้องโอ้โหช่างเข้าชุดรับกันกับผมพองเหมือนรังผึ้ง ขออนุญาตเรียกว่าทรง beehive ก็แล้วกัน ชื่อ “บีไฮฟ” จึงยังติดมาจนทุกวันนี้ใครทำผมโป่งพองมากๆ ก็ยังเรียกว่าบีไฮฟอยู่

สมัยนั้นไม่มีใครคิดว่าการหวีย้อน หรือที่คนไทยเรียกว่ายีผมนั้นจะเป็นการทำลายเส้นผม อีกทั้งสเปรย์ยังอาจทำลายปอดและระบบหายใจได้ ไม่ว่าจะเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งอย่างคุณแจ็กเกอรีน เคเนดี้ ดาราใหญ่ๆ อย่างคุณออดรีย์ เฮปเบิร์น หรือสาวชาวบ้านก็พากันยีผมจนโป่งพองกันถ้วนหน้า ทำผมครั้งหนึ่งก็พยายามให้อยู่ได้เป็นอาทิตย์ เวลานอนต้องหาหมอนเล็กหนุนต้นคอไว้ ผมจะได้ไม่แบน แบบเดียวกันกับชนชั้นสูงในฝรั่งเศสสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ไม่มีผิด

คุณมาร์กาเร็ตเคยให้สัมภาษณ์ว่าทำผมไปแต่ละครั้งอยากให้อยู่ได้หลายวัน จึงบอกกับลูกค้าว่า

“สามีพวกคุณจะทำอะไรคุณต่ำกว่าคอลงไปเดี๊ยนไม่ว่า แต่อย่าให้ยุ่งกับบริเวณคอขึ้นมาเป็นอันขาด เดี๋ยวผมที่เดี๊ยนทำไว้ดีๆ จะพังซะหมด”

ฟังแล้วน่าสงสารสามีของผู้หญิงยุค 60s เป็นอันมาก

ปัจจุบันผมทรงบีไฮฟมีให้เห็นน้อยเต็มที แต่ในประเทศไทยยังพอหาดูได้จากบรรดาคนรุ่นคุณยายคุณย่าภรรยาชนชั้นอีลีต ที่กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วเคยเป็นสาวในยุค 60s

อะไรจะนำวัยสาวกลับมาได้ดีเท่ากับผมทรงตีโป่งเล่า ขอเพียงอย่าให้ฝนหล่นใส่ผมตีโป่งเท่านั้นแหละ

Pat Boon หนึ่งในนักร้องดังยุค 60s เคยร้องเพลงชื่อ With the Wind and the Rain in Your Hair เอาไว้ เป็นเพลงหวานที่บอกว่าตกหลุมรักสาวน้อย ยามเธอเปียกปอนทั้งลมทั้งฝน อดีตสาวบีไฮฟฟังแล้วบอกว่านี่แหละรักแท้ เพราะหนุ่มเห็นผมพองยุบลงมากับตา ยังไม่วิ่งหนีกลับบ้านไปนอนคลุมโปง

สาวสมัยนี้คงกลัวฝนน้อยกว่าสาวรุ่นบีไฮฟ

แต่จะว่าไปคนไทยไม่เคยกลัวฝนจริงจัง สังเกตได้ง่ายๆ ว่า เสื้อฝนก็ไม่ใส่ ร่มก็ไม่ค่อยถือ หน้าร้านค้าก็ไม่มีทางเดินกันฝนแบบประเทศอุดมฝนทั่วๆ ไปในแถบเดียวกับเรา เสี่ยงกับการเปียกฝนแบบไทยๆ ตาดี dry ตาร้ายเปียก เรื่องการเตรียมอะไรสำหรับวันฝนมาดูไม่ใช่วิสัย สำนวน save it for a rainy day (เก็บออมไว้ใช้ในยามลำบาก) ทิ้งไว้ให้ฝรั่งอย่าง Kenny Chesney ใช้ร้องเป็นเพลงก็แล้วกัน

 

ฟัง RAINDROPS KEEP FALLING ON MY HEAD

ฟัง WITH THE WIND AND THE RAIN IN YOUR HAIR

SAVE IT FOR A RAINY DAY จาก Kenny Chesney

https://g.co/kgs/rHFv4u

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image