เริงโลกด้วยจิตรื่น : ‘ศรัทธา’มีแต่แตกต่าง : โดย จันทร์รอน

ในความเป็นมนุษย์ที่พฤติกรรมทุกอย่างเริ่มต้นที่ความคิดนั้น
“ความเชื่อ” เป็นสิ่งสำคัญ

เพราะความคิดเป็นผลที่เกิดจากความเชื่อ คนเราไม่ว่าจะคิดไปทางไหนหากสำรวจลึกเข้าไปในกระบวนการทำงานของจิตใจล้วนแล้วแต่มีความเชื่อเป็นเข็มทิศ

“ศรัทธา” เป็นความเชื่ออีกรูปหนึ่ง เป็นความเชื่อที่หนักแน่น จะเรียกให้เข้าใจง่ายว่า “หัวเชื้อของความเชื่อ” ก็ได้

คนเราเมื่อเกิดศรัทธา ความเชื่อจะเคลื่อนไปทางเห็นดีเห็นงาม ปกป้องสิ่งที่ศรัทธา

Advertisement

และในทางกลับกัน หากเกิด “ความไม่ศรัทธา” ขึ้น ไม่เพียงจะมองเห็นสิ่งนั้นไม่ดีไปเสียหมดเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่ยังคิดไปในทางทำลายสิ่งไม่ศรัทธา

ความขัดแย้งอันก่อให้เกิดความยุ่งยากในการอยู่ร่วมของคนในสังคมเดียวกัน เกิดจาก “ศรัทธาที่แตกต่าง” เมื่อสิ่งเดียวกันพวกหนึ่งให้ความศรัทธา แต่อีกพวกหนึ่งเกิดความไม่ศรัทธา การคิดปกป้องย่อมปะปนกับความคิดทำลาย ก่อปัญหา ก่อความแตกแยก หากสังคมนั้นหมดแรงกระตุ้นให้ประนีประนอม หรือกลายเป็นสังคมที่ส่งเสริมชัยชนะของศรัทธาหรือไม่ศรัทธาแบบแตกหักไปข้างย่อมหนีไม่พ้นการกระทบกระทั่งที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆตามพลังศรัทธา

“ศรัทธา” นั้นมีพลังเสมอ เพราะเป็นแก่นแกนของความเป็นตัวตน ที่สัญชาตญาณจะออกโรงทำหน้าที่ปกป้อง และขยายอาณาเขต ไม่ยอมให้ใครมาก่อความกระทบกระเทือนให้เกิดความสูญเสีย

Advertisement

อย่างไรก็ตาม การเกิดขึ้นของศรัทธานั้นมาจากเหตุต่างกัน

ทางหนึ่ง เกิดขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เป็น “ศรัทธา” ที่ค่อยๆ สะสมมากขึ้นตามวันเวลาที่มีชีวิต เกิดจากการหล่อหลอมของครอบครัว สังคม วัฒนธรรม ประเพณี การศึกษา การถ่ายทอดผ่านสื่อต่างๆ

ศรัทธาแบบนี้ คนส่วนใหญ่ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าทำไมต้องเชื่อ ต้องศรัทธาแบบนั้น รู้แค่ว่าการเชื่อการศรัทธาเช่นนั้นเป็นเรื่องดีต่อชีวิตตัวเอง

อีกทางหนึ่ง เกิดขึ้นด้วยใช้ความคิด พิจารณาไตร่ตรอง มองเห็นการมีอยู่ของสิ่งนั้นๆ เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง หรือต่อการอยู่ร่วมกันของสังคม หรือมองเห็นว่าหากไม่มีสิ่งนั้นๆ ชีวิตตัวเอง หรือการอยู่ร่วมกันในสังคมจะไม่ดี มีอันตราย

ศรัทธาแบบนี้เป็นเรื่องเหตุผลที่แต่ละคนคิดอ่านขึ้นมาตามประสบการณ์ การเรียนรู้ ต่างคนต่างรู้ว่าตัวเองศรัทธาเพราะอะไร แต่ยังเป็นเรื่องที่แต่ละคนมองเห็น หรือรู้ต่างกันได้ ด้วยมุมมองอันเกิดจากชีวิตที่แตกต่าง

อีกทางหนึ่ง เป็นศรัทธาที่เกิดขึ้นจากประจักษ์แจ้งด้วยประสบการณ์ หรือเห็นด้วยตัวเองว่าสิ่งนั้นดีต่อชีวิต ต่อสังคม

เป็นศรัทธาที่เกิดจากการเห็นด้วยตัวเอง ไม่ต้องผ่านการบอกเล่า ถ่ายทอดของคนอื่น และไม่ต้องผ่านการคิดหาเหตุผล เป็นศรัทธาแท้ๆ ที่เกิดขึ้นตรงๆ กับจิตใจ

แต่ศรัทธานี้เกิดขึ้นได้เฉพาะคนคนนั้น คนที่ไปรู้ไปเห็นผลที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง

หากคิดถ่ายทอดให้คนอื่นก็จะกลับเป็นศรัทธาแบบบอกเล่า หรือศรัทธาที่จะไปจุดประกายความคิดหาเหตุผลของคนอื่นเท่านั้น พ้นไปจากศรัทธาที่เกิดจากการเห็นเองเสียอีก

ด้วยเรื่องราวทั้งหลายเหล่านี้เองที่แสดงให้เห็นความเป็นปกติที่มนุษย์เราจะอยู่ในศรัทธา ความเชื่อที่ต่างกัน อันเป็นปกติของการอยู่อย่างเห็นต่าง ขัดแย้ง

ความพยายามที่จะสร้างเอกภาพของสังคมให้อยู่ด้วยศรัทธาในสิ่งเดียวกัน ให้เชื่อเหมือนๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการโน้มน้าวด้วยวาทศิลป์ สร้างสวรรค์ให้เกิดความหวังร่วมกัน สร้างนรกให้กลัวร่วมกัน หรือใช้กำลังบังคับ ออกกฎหมายควบคุมให้ต้องเชื่อต้องศรัทธาในสิ่งเดียวกันมีมาหลายร้อยหลายพัน หรือกระทั่งหลายหมื่นปีแล้ว แต่ไม่เคยสำเร็จสมบูรณ์

คนกลับมาสู่ธรรมชาติของมนุษย์คือ เชื่อไปตามเหตุที่ก่อเป็นชีวิตของตัวเองแต่ละคน ความเชื่อจากการบังคับควบคุมไม่เคยเกิดขึ้นจริงในใจของผู้คน

หากยอมที่จะไม่คัดค้านต่อต้าน ก็แค่มีจิตใจประนีประนอมพร้อมจะรับการอยู่ร่วมกันด้วยความคิดที่แตกต่างเท่านั้น

น่าเศร้าตรงที่คนคิดควบคุมบังคับ มักเห็นการไม่ต่อต้านเป็นความสำเร็จของตัวเอง

ว่าตัวเองเป็นผู้มีความสามารถ มีความวิเศษที่ทำให้คนในสังคมเดียวกันศรัทธาในสิ่งเดียวกันได้

ทั้งที่มันไม่เคยมีอยู่จริง

ศรัทธา ความเชื่อของคนเราแตกต่างกันเสมอ

สร้างจิตใจให้พร้อมประนีประนอมความต่าง ซึ่งสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งจะทำให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสุขสงบมากกว่า

เป็นหนทางที่ดีที่สุดของมนุษย์ที่ปรารถนาการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

เพียงแต่เป็นหนทางที่ “ผู้นำ” ซึ่งถูกแนวคิด “อำนาจนิยม” ครอบงำ ไม่มีทางเข้าใจ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image