“ขรรค์ชัย สุจิตต์” ทอดน่อง “ล้ง 1919” เปิดตำนานชุมชนจีนริมเจ้าพระยา “ไชน่าทาวน์ยุคแรก”ก่อนเยาวราช

เปิดตัวทริปแรกของปี 2563 อย่างงดงามยิ่ง สำหรับรายการ “ขรรค์ชัย-สุจิตต์ ทอดน่องท่องเที่ยว” ตอน “จีน-ไทย หลายพันปี มีวัฒนธรรมร่วมก่อนอยุธยา, สุโขทัย” ซึ่งมีผู้ชมผ่านช่องทางต่างๆ อย่างล้นหลาม

ปักหมุด “ล้ง 1919” ถนนเชียงใหม่ คลองสาน กรุงเทพฯ บรรยากาศสดใส มากมายด้วยผู้คนที่เดินทางมาทอดน่องชมวิวริมเจ้าพระยา

สุจิตต์ วงษ์เทศ คอลัมนิสต์เครือมติชน นั่งรับลมเย็น แล้วเล่าว่า พื้นที่บริเวณนี้สำคัญมากสำหรับความเป็นกรุงเทพฯ คลองสาน ฝั่งธนบุรีในอดีตเป็นย่านชาวสวน รวมถึงโกดังเก็บสินค้าของชาวจีน ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา คือฝั่งกรุงเทพฯ หรือพระนคร เป็นย่านการค้าสำคัญ นับเป็นไชนาทาวน์แรกสุดก่อนเยาวราช แต่ประวัติศาสตร์ไทยไม่พูดถึง คนจึงไม่เข้าใจพัฒนาการ ไม่มีพิพิธภัณฑ์กรุงเทพฯทั้งที่ กทม.ใหญ่มโหฬาร ทำให้ไม่รู้จักรากเหง้าตัวเอง คนบางกลุ่มด่าคนอื่นชังชาติ แต่ตัวเองไม่รู้ประวัติศาสตร์

“ย่านนี้ในรูปถ่ายสมัย ร.5 เต็มไปด้วยโรงเก็บสินค้า ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนฯคือโกดัง โรงสี โรงเลื่อย ส่วนฝั่งพระนครเป็นย่านการค้า จุดที่นั่งอยู่นี้คือย่านกลุ่มพ่อค้าชาวจีนที่มาตั้งรกรากทำธุรกิจใหญ่โต เป็นชุมชนที่เจริญขึ้นจากการค้านานาชาติบน 2 ฟากแม่น้ำ สินค้าจากต่างประเทศจะถูกขึ้นจากเรือย่านนี้ จากนั้นค่อยจัดสรรทยอยไปขายฝั่งพระนคร ยุคก่อนมีท่าเรือคลองเตย เรือจากต่างประเทศมาจอดกันตรงนี้”

Advertisement

ย้อนกลับไปไกลกว่านั้น สุจิตต์เล่าว่า สมัยอยุธยา บริเวณนี้เป็นที่อยู่อาศัยของคนนานาชาติพันธุ์ ต่อมา สมัยธนบุรี รัตนโกสินทร์ การค้ากับจีนหนาแน่น คนจีนมาตั้งถิ่นฐาน รวมถึงฝรั่ง และชาวมุสลิมด้วย

“ย่านคนจีนในอดีตอยู่บริเวณที่เป็นพระบรมมหาราชวังในปัจจุบัน รวมถึงท่าพระจันทร์ ท่าช้าง ท่าเตียน ในนิราศหม่อมพิมเสน กล่าวถึง ‘บางจีน’ ซึ่งก็คือพื้นที่ดังกล่าว ต่อมา รัชกาลที่ 1 โปรดให้ราชาเศรษฐีหัวหน้าคนจีนพากันย้ายไปยังสำเพ็ง

“ล้ง 1919 อยู่ฝั่งตรงข้ามสำเพ็งพอดี มองเห็นวัดสำเพ็ง หรือวัดปทุมคงคา, วัดเกาะ หรือวัดสัมพันธวงศ์ รวมถึงวัดสามปลื้ม หรือวัดจักรวรรดิราชาวาส และวัดสามจีน หรือวัดไตรมิตรวิทยาราม สำเพ็งดั้งเดิมอยู่ริมแม่น้ำ ดังนั้น 2 ฟากฝั่งเจ้าพระยาคือย่านชาวจีนมาตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ แต่คำว่าสำเพ็งเป็นภาษามอญ แปลว่า เจ้าขุนมูลนาย ขุนนาง สะท้อนว่าเดิมเคยเป็นชุมชนมอญ แล้วคนจีนย้ายมาทีหลัง จึงเต็มไปด้วยศาลเจ้าจีน อย่างศาลเจ้าแม่หม่าโจ้”

Advertisement

เน้นย้ำถึงความเป็นไทยและจีนปนเปกันมาเป็นพันปี ไม่ได้เริ่มต้นที่สุโขทัย พ่อขุนรามคำแหงก็ไม่เคยไปเมืองจีน แต่เป็นเจ้านครอินทร์ซึ่งนำเทคโนโลยีการทำสังคโลกจากจีนกลับมา อาจารย์สืบแสง พรหมบุญ นักวิชาการชื่อดัง

ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่ ม.วิสคอนซิน สหรัฐ จบเมื่อ พ.ศ.2513 ขณะนั้น สุจิตต์ และ ขรรค์ชัย บุนปาน หัวเรือใหญ่ค่ายมติชน ยังทำงานอยู่ที่ นสพ.สยามรัฐ

“อาจารย์สืบแสงแปลเอกสารจีน พบว่าพ่อขุนรามคำแหงไม่เคยไปเมืองจีน เอกสารจีนเรียกสุโขทัยว่า ซก โก ไท้ เรียกสุพรรณฯว่าสยาม ความรู้เรื่องนี้มีมานาน 50 ปี แต่ที่ไม่แพร่หลาย เป็นปัญหาของมหาวิทยาลัยไทย

“คนในไทยกับจีนไปมาหาสู่กัน มีหลักฐานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ราว 3,000 ปีมาแล้ว พบหม้อสามขาแบบวัฒนธรรมลุงชาน ในลุ่มน้ำฮวงโห ตั้งแต่ตาก กำแพงเพชร อุทัยธานี กาญจนบุรี ราชบุรี ลงไปถึงมาเลเซีย”

ลึกมาขนาดนี้ ก็ยิ่งต้องขุดลึกลงไปถึงประเด็น “พระเจ้าเหา” ซึ่งสุจิตต์-ขรรค์ชัยบอกว่ามาจาก คำว่า เฮ่า แปลว่า ผีบรรพชน นอกจากนี้ ยังเชื่อมโยงไปถึงเรื่อง “ขวัญ” อันเป็นความเชื่อดั้งเดิมในอุษาคเนย์ ก่อนรับวิญญาณสไตล์ชมพูทวีป

“ขวัญถูกทิ้งไปจากสังคมไทย เพราะไปเอาเรื่องวิญญาณจากอินเดียเข้ามา วิญญาณกับขวัญ ปนกันในสังคมไทย วิญญาณ ตายแล้วดับ หรือตายปุ๊บเกิดปั๊บ แล้วแต่ใครจะเชื่อ ทั้งหมดเป็นเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด แต่ขวัญตายแล้วไม่ไปเกิด เป็นผีขวัญ ผีบรรพชน”

ถามว่าที่เล่ามานี้เกี่ยวกับจีนอย่างไร?

สุจิตต์บอกว่า ตนเพิ่งมาเข้าใจ เมื่อมีนิทรรศการ “จิ๋นซี ฮ่องเต้” ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร

“ในนิทรรศการไม่ได้บอกว่าเกี่ยวกับขวัญ แต่ผมเอามาตีความเอง อยากรู้ว่าทำไมจิ๋นซีต้องฝังศพ ที่แท้คือเรื่องขวัญ โลกหลังความตาย มันเรื่องเดียวกับขวัญ เรามีคำว่า มิ่งขวัญ ไม่ใช่แสงสุวรรณ์นะ (หัวเราะ) ผู้หลักผู้ใหญ่เวลาอวยชัย ขอให้เป็นมิ่ง เป็นขวัญของครอบครัว คำว่า ขวัญ เข้าใจ แต่มิ่งล่ะ ขวัญคือ สิ่งไม่มีตัวตน แต่มิ่งมีตัวตน ภาษาจีนเรียกขวัญว่า หุน เรียกมิ่งว่า ผ่อ ขวัญอยู่โดดๆ ไม่ได้ ต้องอยู่กับตัวตน ถึงจะครองร่างเป็นคนที่อยู่ในโลก ร่างกายต้องมีขวัญ ขวัญต้องมีร่าง ถ้าไม่มีก็เป็นผี ทั้งหมดนี้ ผมสรุปจากบทความเรื่อง ป้ายสถิตวิญญาณจากจีน สู่ราชสำนักไทย ของอาจารย์ถาวร สิกขโกศล ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2559”

สรุปรวบตึงอย่างเข้าใจง่ายสไตล์ สุจิตต์ วงษ์เทศ ที่ย้ำว่าเมื่อ 2,000-3000 ปีที่แล้ว ยังไม่มีจีน ยังไม่มีไทย ทว่า เป็นคนเหมือนกัน วัฒนธรรมเลื่อนไหล เชื่อมโยง ไม่รู้ใครรับใคร

“เราพูดไม่ได้ นอกจากว่ามันเป็นวัฒนธรรมร่วมส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งเรารับจีนหลังจากจีนเป็นอารยธรรมหลักของโลกแล้ว”

ด้าน ขรรค์ชัย บุนปาน ประธานกรรมการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ที่เดินทางจากบ้านริมคลองมอญ มาเยี่ยมชุมชนจีน มีคำแนะนำว่า ย่านนี้มีความหมายมาก หากพัฒนาให้ดี มีความเป็นระเบียบ สะอาดสะอ้าน จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เป็นประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตชีวา อย่าง ล้ง 1919 ซึ่งตนเพิ่งเคยเดินทางมาครั้งแรก รู้สึกประทับใจมาก เพราะพัฒนาพื้นที่ได้เป็นอย่างดีและอนุรักษ์สถาปัตยกรรมเดิมไว้ได้อย่างดีเช่นกัน หน่วยงานราชการควรมาศึกษาแนวทาง สมัยเป็นวัยรุ่น ตนมาย่านคลองสานเป็นประจำ เนื่องจากสามารถนั่งรถไฟจากบ้านย่านโรงพักบางขุนเทียนมาลงสถานีปากคลองสาน ยังจำชื่อพนักงานตรวจตั๋วบนรถไฟได้ถึงทุกวันนี้

เป็นอีกทริปดีๆ ที่สะท้อนความสัมพันธ์จีน-ไทยที่มีมาอย่างยาวนาน ในวันที่ไวรัสสะเทือนโลก ก็ต้องร่วมแรงใจฟันฝ่า พร้อมก้าวไปข้างหน้าฉันมิตรดังเช่นที่เคยเป็น

อาหารจีน ชื่อไท้ยไทย

กฤช เหลือลมัย พาชิมข้าวพระรามลงสรง

ไม่เพียงประวัติศาสตร์ที่ไทย-จีน สัมพันธ์สืบเนื่องยาวนาน

ทว่า อาหาร คือส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมสำคัญที่ชุมชนจีนในไทย สร้างสรรค์ความอร่อยอย่างไม่หยุดยั้ง

กฤช เหลือลมัย คือคอลัมนิสต์ด้านอาหารชื่อดัง และแขกรับเชิญพิเศษที่จะมาร่วมรายการ ขรรค์ชัย-สุจิตต์ ทอดน่องท่องเที่ยว นับจากนี้เป็นต้นไป โดยในทริปแรกของปี เปิดประตูบานแรกที่ ?ร้านข้าวพระรามลงสรง ย่านท่าดินแดง?

เอกภัทร์ เชิดธรรมธร พิธีกรเจ้าเก่า ปล่อยมุขถามว่าไม่ได้พามาชมวรรณคดีใช่หรือไม่?

กฤชรับมุขทันใด ผายมือชวนสู่ภายในร้านซึ่งเป็นตึกแถวเล็กๆ น่านั่ง

?เดี๋ยวนี้หากินไม่ค่อยได้แล้ว ผมก็ไม่ทันยุครุ่งเรืองของข้าวพระรามลงสรง เพราะช่วงที่ขายดีๆ มีเยอะๆ บูมๆ น่าจะเป็นช่วง พ.ศ.2400 ปลายๆ ถึง 2500 ต้นๆ ตอนนี้เหลือน้อยมาก ในคลองสาน ท่าดินแดง ย่านคนจีนอย่างนี้ น่าจะมีที่นี่ร้านเดียว ทอดน่องเมื่อยๆ เหนื่อยๆ แล้ว ก็มากิน?

แม้ชื่อ ไท้ยไทย เชื่อว่าเป็นชื่อที่ถูกตั้งขึ้นภายหลัง แต่แท้จริงแล้วคืออาหารจีน ชื่อว่า ซาแต๊ปึ่ง ซึ่งได้รับอิทธิพลจากอาหารในวัฒนธรรมมุสลิม คือ สะเต๊ะ นั่นเอง

กฤชบอกว่า ข้าวพระรามลงสรงเป็นอาหารจีนที่ได้รับอิทธิพลมาจากสะเต๊ะของมุสลิม ซาแต๊ คือ สะเต๊ะ ปึ่ง คือ ข้าว ในอดีตมีสถานะคล้ายข้าวแกง ตั้งแต่เยาวราช วรจักร สะพานเหล็กมีขายเต็มไปหมด โดยมีผู้หาบขายทั่วไป ชื่อพระรามลงสรง เชื่อว่าตั้งขึ้นโดยนำสีเขียวของผักบุ้งมาเปรียบกับพระราม เป็นจินตนาการของคนไทยในการตั้งชื่อ

เจ้าของร้านคือ อาม่า ศุภร อชรางกูร ซึ่งบอกว่าขายมา 30 กว่าปี เดิมทำให้คนในครอบครัวรับประทาน มีแต่คนชมว่าอร่อยมากกกก จึงเปิดร้านขายในภายหลัง กระทั่งกลายเป็นหนึ่งในตำนานมาจนถึงวันนี้

ใครเริ่มน้ำลายไหล เชิญได้ที่ ร้านข้าวพระรามลงสรง ริมถนนท่าดินแดง ใกล้ปากซอยท่าดินแดง 1 รับรองไม่ผิดหวัง

นับจากนี้เป็นต้นไป สามารถรับชมรายการ ?ขรรค์ชัย-สุจิตต์ ทอดน่องท่องเที่ยว? ทุกตอนได้ทางเฟซบุ๊กมติชนออนไลน์, ข่าวสด, ศิลปวัฒนธรรม และยูทูบมติชนทีวี ในวันพฤหัสบดีสุดท้ายของเดือน เวลา 20.00 น.

 

 

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image