คุยเรื่องเงินๆ ‘ทองๆ’ กับ จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี บุคคลสำคัญเชื่อมสัมพันธ์ไทย-จีน

เรื่องเงินๆ ทองๆ ถือเป็นอีกปัจจัยที่มีความสำคัญของบุคคลทุกชนชั้น แต่หากพูดถึงร้านทองที่โด่งดังและได้รับความนิยมจากคนในประเทศ ก็ต้องนึกถึง ‘ร้านทองจินฮั้วเฮง’ เป็นอันดับต้นๆ จากการทำงานภายใต้สโลแกน ‘เต็มเปอร์เซ็นต์เวลาซื้อ เต็มราคาเวลาขาย’ จึงทำให้ได้ใจประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศไปเต็มๆ

จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี ชายผู้ก่อตั้งร้านทองจินฮั้วเฮงขึ้นมา เมื่อปี 2523 เพื่อนำทองที่มีคุณภาพมาขายให้กับคนในประเทศ จนทำให้มีลูกค้าจากทั่วโลกให้ความสนใจกับทองคำในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยปัจจัยลบหลากหลายประเด็นทำให้ผู้ผลิตทองคำเริ่มปิดตัวลง ครั้งนี้ได้มีโอกาสพูดคุยกับ จิตติ เป็นการส่วนตัว จึงได้เห็นแง่มุมดีๆ จากพ่อค้าทองคนนี้อย่างมากมาย และนอกจากบทบาทการเป็นนายกสมาคมผู้ค้าทองคำแล้ว จิตติ ยังมีหมวกอีกใบ คือ ‘ประธานสภาหอการค้าไทยจีน’ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับเรื่องทองคำอยู่ ในมุมของการค้าขาย และการเป็นคนกลางในการเชื่อมสัมพันธ์ของแต่ประเทศเข้าด้วยกัน

แม้เป็นงานที่หนักแต่ชายคนนี้ก็สามารถ ขับเคลื่อนทั้ง 2 องค์กรนี้ ไปในทิศทางเดียวกันได้เป็นอย่างดี

Advertisement

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการทองคำช่วยประเมินสถานการณ์ทองคำในปีนี้ว่าจะเป็นอย่างไร?

ในปี 2563 แค่เริ่มต้นก็มีความผันผวนแล้ว เนื่องเงินค่าเงินบาทในช่วงเดือนธันวาคม 2562 จนถึงปัจจุบัน เคลื่อนไหวอยู่ที่ 29-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศอิหร่านและสหรัฐฯ ที่ทำให้ทั่วโลกเกิดความตึงเครียด ส่งผลให้ราคาทองคำในตลาดโลกจะผันผวนขึ้นพุ่งขึ้นมามากกว่า 10 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจากการประเมินในระยะสั้น หรือในช่วงเดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมา มีความเปลี่ยนแปลงมากพอสมควร รวมถึงเรื่องโรคปอดอักเสบ ไวรัสโคโรนา จากประเทศจีน ที่เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ราคาทองปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นมาแล้วในช่วงที่อิหร่านกับสหรัฐ มีความขัดแย้งกัน

ในส่วนของนักลงทุนต้องมีการเตรียมรับมืออย่างไร?

Advertisement

ในช่วงที่ราคาทองมีความผันผวนแบบนี้ มีโอกาสที่นักลงทุนจะทำกำไรได้มากพอสมควร ถึงแม้ในตอนนี้ราคาจะขึ้น แต่อย่างที่บอกว่าในปีนี้ราคาทองจะค่อนข้างผันผวน ซึ่งมีโอกาสทั้งในเรื่องของการเก็งกำไร และขาดทุน เปอร์เซ็นเท่าๆ กัน จึงอยากให้นักลงทุน หรือประชาชนที่ต้องการจะลงทุนเกี่ยวกับทองคำ ต้องระมัดระวัง ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างทันท่วงที เพราะในปัจจุบัน สำรับตลาดทองนานาชาติ ราคาทองมีความผันผวนมากที่สุดในรอบ 8 ปี แต่สำหรับ ประเทศไทย ถือว่าผันผวนที่สุดในรอบ 4 ปี เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่เท่ากัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าราคาทองคำจะขึ้นอยู่กับปัจจัยในเรื่องของค่าเงินเป็นหลัก ฉะนั้นต้องพึงระวังให้มาก

จากปัจจัยลบต่างๆ ถือว่าการค้าขายทองอยู่ในช่วงค้าขายฝืดหรือไม่?

เมื่อเปรียบเทียบในระยะสั้น ก็ถือว่าฝืดพอสมควร เพราะในช่วงเทศกาลผ่านมายอดขายตกกว่าเท่าตัว ยิ่งในช่วงของเทศกาลตรุษจีนยิ่งตกเยอะกว่าเดิม ซึ่งไม่ค่อยมีปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นว่ากำลังซื้อของประชาชนปรับตัวลดลงเป็นอย่างมาก รวมถึงเรื่องงบประมาณปี 2563 ที่ยังไม่ผ่าน มีผลทำให้เศรษฐกิจไม่ถูกกระตุ้นเท่าที่ควรนัก ผมมองว่าเศรษฐกิจในปีนี้ โดยในส่วนของภาคการส่งออกจะปรับตัวลดลงอีกเยอะ

ในปีนี้กำลังซื้อในกลุ่มตู้ร้านทองเป็นอย่างไรบ้าง?

มีแนวโน้มกำลังซื้อถดถอยเป็นอย่างมาก ปิดกิจการไปเยอะ รวมทั้งมีการปิดโรงงาน ตามสภาวะของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มแย่ลง ส่วนอีกเรื่องที่หน้าเป็นห่วง คือกำลังซื้อ ในส่วนของผลไม้ อาทิ ทุเรียน ที่อาจสะดุดเพราะผลกระทบจากไวรัสโคโรนา และในประเทศมีการปลูกขึ้นมาเยอะ เนื่องจากเมื่อ 2-3 ปีก่อนทุเรียนมีราคาดี ก็ต้องมาลุ้นปัจจัยในช่วงเดือนเมษายน อีกรอบว่าจะกลับมาฟื้นตัวหรือไม่

ได้มีการประเมินมูลค่าของตลาดร้านค้าทองในแต่ละปีหรือไม่?

สำหรับตลาดค้าทองไม่ได้มีการวัดเป็นมูลค่า แต่ประเมินจากการนำเข้าทองคำเพื่อผลิตและส่งออก คาดว่าจะยังไม่น่าจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงนี้ ประเมินว่าในปีนี้จะมีการนำเข้าอยู่ที่ 100 ตันเท่านั้น ซึ่งลดลงจากปีที่ 2562 ที่มีการนำเข้า ประมาณ 130 ตัน และลดจากปี 2561 ที่มีการนำเข้า ประมาณ 280 ตัน โดยอัตราเฉลี่ยแล้วไทยจะมีการนำเข้าทองคำ อยู่ที่ 100-150 ตันต่อปี ซึ่งสาเหตุที่มีการนำเข้าลดลงมาจากปัญหาทางการเมือง และปัจจัยลบจากต่างประเทศเป็นหลัก

อยากให้รัฐบาลเข้ามาดูแลในส่วนของธุรกิจค้าทองอย่างไรบ้าง?

ผมเคยเสนอในเรื่องของการพัฒนาแรงงานที่มีฝีมือ และเน้นในเรื่องของการลงไปเยี่ยมชมขั้นตอนการผลิตจากต่างประเทศที่มีความทันสมัย เพื่อมาปรับใช้กับไทย หรือจะเป็นการเชิญประเทศที่ผลิตทองคำนำนวัตกรรมใหม่ๆ ในการผลิตมาโชว์ในประเทศไทย ถือเป็นการแลกเปลี่ยนเครื่องไม้เครื่องมือ เพื่อให้เกิดการพัฒนาในอุตสาหกรรมนี้ต่อไป ซึ่งประเทศที่ถือเป็นคู่แข่งของไทย ได้แก่ อิตาลี และจีน เพราะประเทศดังกล่าวมีการพัฒนาที่ก้าวหน้ากว่าไทยไปมาก แต่ตลาดอาเซียนก็ยังนิยมทองคำของประเทศไทยอยู่ ฉะนั้น ไทยต้องเร่งพัฒนา เพื่อเพิ่มกำลงซื้อในอนาคตต่อไป

อยากให้ช่วยเล่าถึงความเป็นมาของ ‘สภาหอการค้าไทย-จีน’ โดยสังเขป

จุดเริ่มต้นมาจากสมาคมนักธุรกิจจีนโลก ที่จัดตั้งขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ.1991 โดยหอการค้าจีน-สิงคโปร์ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือ และการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของนักธุรกิจจีนทั่วโลก ปัจจุบัน มีการประชุมสมัชชาใหญ่ 13 ครั้ง ในหลายประเทศ

ขณะที่ ในปี ค.ศ.1999 องค์การบริหารได้ประกาศจัดตั้งสำนักเลขาธิการของการประชุมผู้ประกอบการชาวจีนโลก เพื่อประสานงานและวางแผนการประชุมต่อเนื่อง กำหนดจัดการประชุม 2 ปี 1 ครั้ง โดยคัดเลือกโดยเลขาธิการจากหอการค้าจีนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก และหมุนเวียนการทำหน้าที่เลขาธิการที่มาจากหอการค้า เริ่มจาก จีน-สิงคโปร์ ได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการชุดแรกเริ่มต้นจากเดือนตุลาคม ค.ศ.1999 ถึงปี ค.ศ.2005 หลังจากนั้นเลขาธิการที่มาจากหอการค้าจีน-ฮ่องกง ได้ดำรงตำแหน่งต่อจากปี 2005 ถึงปี 2011 ส่วนหอการค้าไทย-จีน ได้ดำรงตำแหน่ง ในปี ค.ศ.2011 ถึงปีค.ศ.2017 ส่วนปัจจุบันผู้ที่ดำรงตำแหน่งสำนักงานเลขาธิการอยู่ คือ หอการค้าสิงคโปร์-จีน

เพื่อให้เกิดความหลากหลาย ความสามัคคี นำประสบการณ์มาพัฒนาสมาคมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ในเดือนตุลาคม ค.ศ.2011 องค์กรผู้ก่อตั้งทั้ง 3 แห่ง จึงได้ตกลงจัดตั้งคณะที่ปรึกษาขึ้นมา โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิเป็นตัวแทนดำรงตำแหน่งคณะที่ปรึกษา กำหนดให้มีการจัดประชุมปีละ 1 ครั้ง ปัจจุบันได้จัดประชุมแล้ว 6 ครั้ง

แล้วประวัติของหอการค้าไทย-จีน มีความเป็นมาอย่างไร?

หอการค้าไทย-จีน เดิมคือหอการค้าชิโน-สยาม ก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ.2453 ตรงกับช่วงสมัยราชวงศ์ชิง เพื่อตอบสนองความต้องการของชาวจีนที่อพยพเข้ามาไทย ผู้ก่อตั้งเป็นกลุ่มนักธุรกิจชาวจีน ได้แก่ นายเกา เสวียซิว ซึ่งเป็นเจ้าของโรงสีข้าว นายเฉิน ลุนขุย แห่งบริษัทหงลี่หัง นายอู่ จั่วหนาน นักธุรกิจผู้กว้างขวางและนายอู่ อีผิง “กับปิตัน” ผู้มีชื่อเสียงชาวสิงคโปร์ สำนักงานแห่งแรกเป็นบ้านเช่า ในย่านเขตวัดสำเพ็ง คณะกรรมการจากการเลือกตั้งและมีวาระดำรงตำแหน่ง 1 ปี นายเกา เสวียซิวได้เป็นประธานหอการค้าคนแรก และยังได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่อไปอีกถึง 2 ปี

ใน พ.ศ.2457 นายเฉิน ลุนขุย ผู้เป็นประธานสมัยที่ 4 ของหอการค้า ได้ขยายวาระการดำรงตำแหน่งออกไปเป็นคราวละ 2 ปี ต่อมาใน พ.ศ.2459 นายเฉิน เฉิงปัว ประธานสมัยที่ 5 ริเริ่มกิจกรรมเพิ่มเติม โดยรับจัดการและให้ความช่วยเหลือด้านกระบวนการทางกฎหมายและการรับรองเอกสาร ใน พ.ศ.2462 นายเกา เสวียซิว ได้รับเลือกให้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานสมัยที่ 6 อีกครั้ง และ ต่อมาจนถึงประธานสมัยที่ 7 และ 8 ตามลำดับ

เมื่อพ.ศ. 2530 ดร.บุญทรง ศรีเฟื่องฟุ้ง ได้ขึ้นรับตำแหน่งแทนเป็นประธานสมัยที่ 11 ใน พ.ศ.2536 ดร.บุญทรง เสนอให้มีกิจกรรมต่อเนื่องเพื่อการระดมทุน เพื่อใช้ในการก่อสร้างอาคาร Thai-CC สูง 35 ชั้น ซึ่งจะยังประโยชน์ให้หอการค้าได้นาน จนถึงศตวรรษหน้า ในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2538 หอการค้า เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้ประกอบการชาวจีนโลกครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นทั้งการฉลองครบรอบปีที่ 85

จะเห็นได้ว่าในทุกยุคทุกสมัย หอการค้าไทย-จีน จะได้รับเกียรติอันสูงสุด เสมอทำให้ทางหอการค้าฯ มีความมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติ และเป็นหนึ่งในองค์กรที่ช่วยเชื่อมสายสัมพันธ์ระห่างประเทศมาจนถึงปัจจุบัน

ในปีนี้ทางสภาหอการค้าไทย-จีน ได้จัดกิจกรรมอะไรไปบ้างแล้ว?

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2563 ทางหอการค้าไทย-จีน ร่วมรับเสด็จ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดงาน “ตรุษจีนเยาวราช” 2563 ฉลองนักษัตรปีชวด ณ ถนนเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ซึ่งในวันดังกล่าวผมและคณะผู้บริหารหอการค้าไทย-จีน ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมงานเลี้ยงเสวยพระกระยาหารค่ำ ณ อาคารธนาคารกรุงไทย สาขาเยาวราช

นอกจากนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯ ไปยังวัดไตรมิตรวิทยาราม ทรงนมัสการพระพุทธทศพลญาณ ณ พระอุโบสถ หลังจากนั้นเสด็จฯ ไปทรงเปิดงานตรุษจีนเยาวราช ประจำปี 2563 ณ ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติฯ และเสด็จฯ ไปยังโรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิ ทรงสักการะพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ และประทับรถรางพระที่นั่งเยี่ยมชมกิจกรรมต่างๆ ภายในงาน โดยผมพร้อมด้วยคณะผู้บริหารหอการค้าไทย-จีน ได้เฝ้ารับเสด็จฯ พร้อมทูลเกล้าฯ ถวายของที่ระลึกแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ บริเวณหน้าร้านทองจินฮั้วเฮง ถนนเยาวราช

เรายังได้ต้อนรับองค์กรที่มีความสำคัญระหว่างประเทศกว่า 100 องค์กร ซึ่งในจำนวนนี้ทางสมาคมได้พาไปดูพื้นที่ เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อดึงนักธุรกิจจีนมาลงทุนในไทย ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้มีการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างนักธุรกิจจีนกับไทย ซึ่งตรงตามคอนเซ็ปต์ของชื่อ สภาหอการค้าไทย-จีน ที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงทั้ง 2 ประเทศเข้าด้วยกัน

หอการค้าไทย-จีน ถือเป็นองค์กรนานาชาติ เบื้องต้นเราจะจัดประชุมร่วมกับสมาชิก 2 ปี 1 ครั้ง ซึ่งในปี 2564 มาเลเซียขอเป็นเจ้าภาพ เพราะตรงกับวันครบรอบ 100 ปี หอการค้าจีน-มาเลเซีย

ในปี 2566 ได้มีประเทศไหนขอจัดงานบ้างหรือยัง?

ยังครับ แต่คิดว่าไทยน่าจะมีศักยภาพเพียงพอที่จะขอเป็นเจ้าภาพในการจัดงานแล้ว แต่ยังไม่ชัวร์ว่าจะได้จัดหรือไม่ ถึงแม้ว่าไทยจะอยู่ในหนึ่งคณะผู้ตัดสิน แต่ก็ต้องทำตามขั้นตอนเหมือนประเทศอื่นๆ ขณะนี้ ไทยอยู่ระหว่างการเตรียมเสนอเป็นเจ้าภาพ

รูปแบบของงานเป็นอย่างไร?

เป็นลักษณะงานแฟร์ที่จัดอย่างยิ่งใหญ่โดยจะมีผู้นำของแต่ละประเทศกล่าวเปิดงาน งานนี้เป็นเหมือนงานประชาสัมพันธ์แต่ละประเทศ ซึ่งในส่วนของแนวคิดจะแตกต่างกันไป อย่างเช่นมาเลเซียที่กำลังจะเป็นเจ้าภาพ ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ได้เสนอว่าจะนำภาคธุรกิจทั่วโลกมาพูดคุย หารือ และแนะจุดขายของมาเลเซียให้ทั่วประเทศได้รู้ ซึ่งจุดประสงค์หลักเน้นในเรื่องของการค้าการลงทุน นอกจากนี้ จะเปิดเวิร์คชอป และสัมมนาโดยนำนักธุรกิจมาบอกเล่าหนทางสู่ความสำเร็จให้กับนักธุรกิจทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ได้ฟัง

แล้วสำหรับรูปแบบการจัดงานของไทยในปี 2566 จะเป็นอย่างไร?

เราจะเน้นในการประชาสัมพันธ์ประเทศไทยให้นานาชาติได้รู้จัก แต่ทุกอย่างจะทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับการอนุมัติจาก 3 ประเทศแล้วเท่านั้น และในปีนี้ทางหอการค้าไทย-จีน ยังยืนยันที่จะเดินหน้าเชื่อมสัมพันธ์กับจีนต่อไป ในด้านของธุรกิจ ส่วนปัญหาเรื่องไวรัส คาดว่าจีนจะสามารถควบคุมได้ในเร็วๆ นี้

แต่ยังเชื่อว่า ไทยเป็นประเทศที่สุดยอด และมีศักยภาพ สามารถจัดงานระดับประเทศได้แน่นอน

มองแบบ “มนุษย์ทองคำ” ของจริงต้อง “ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้”

ไม่ผิดที่ใครๆ จะเรียก “จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี” ว่ามนุษย์ทองคำ เพราะว่าเขาเป็นเจ้าของกิจการร้านทอง “จินฮั้วเฮง” ที่ถือเป็นร้านทองรายแรกๆ ของประเทศไทย

ด้วยประสบการณ์ด้านการค้าทองคำที่มีมากกว่า 40 ปี จึงทำให้เขาได้รับตำแหน่ง นายกสมาคมค้าทองคำ ด้วยวิสัยทัศน์ที่จะสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้แก่วงการค้าทองคำของไทย

ดังนั้น ทองคำ ในความหมายของ “จิตติ” จึงไม่ได้เป็นแค่เพียงเครื่องประดับหรือเครื่องมือสำหรับการลงทุนเท่านั้น

แต่ทองคำยังเป็นวัตถุที่สะท้อนถึงวัฒนธรรม ประเพณีของสังคมอีกด้วย จึงทำให้จินฮั้วเฮง สร้างสรรค์งานศิลปะมากมายผ่านทอง อาทิ เสื้อทองคำ มังกรทองคำ จนทำให้วงการทองคึกคักและมีสีสันมากขึ้น

และถึงแม้ว่า ในปัจจุบันนี้ “จิตติ” จะสวมหมวกหลายใบ เป็นทั้งผู้เจรจาด้านการค้าระหว่างประเทศแล้ว ก็ยังไม่ทิ้งความเป็นพ่อค้าทอง ที่คอยสอดส่อง ทิศทางของทองคำอยู่ตลอดเวลา

เนื่องจากในปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามี โรงงานผลิตทองคำ และโรงงานผลิตเครื่องประดับรายเล็ก เริ่มล้มหายตายจากกันไปเป็นจำนวนมาก ผลจากเศรษฐกิจในประเทศที่อยู่ในภาวะฟืดเคือง รวมถึงสถานการณ์จากต่างประเทศ

เมื่อถามถึงทิศทางของโรงงานผลิตทองคำ และผลิตอัญมณี ว่าหลังจากนี้จะมีการปิดตัวอีกหรือไม่ ได้คำตอบว่า

“ผมคิดว่าหลังจากนี้โรงงานผู้ผลิตรายเล็กจะเริ่มปิดตัวลงอีก เนื่องจากปัญหาด้านเศรษฐกิจส่วนหนึ่ง และปัญหาเรื่องแรงงานคนที่มีราคาสูงขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่กระทบกับธุรกิจโดยตรง จึงอยากแนะนำให้มีการปรับตัว หันมาใช้เครื่องจักรกล อาจจะลงทุนสูงในช่วงแรก แต่ก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า”

 

จิตติ มองว่า ทองคำยังเป็นสิ่งที่มีมูลค่าและควรเก็บรักษาไว้ แต่ต้องมีการพัฒนาในเรื่องของเทคโนโลยีด้านการผลิต เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยด้วย

“ทองไทยมีจุดเด่นไม่เหมือนประเทศใดในโลก เป็นทองที่มีคุณภาพสูง และได้รับความนิยม เพราะมีส่วนผสมทองคำต่อบาทสูงถึง 96.5% เป็นเรื่องที่ไทยทำมาต่อเนื่องกว่า 100 ปี ทำให้ไทยเป็นประเทศที่นำเข้าทองคำเพื่อนำมาแปรรูปติดอันดับ 6-7 ของโลก ทองที่มีส่วนผสมถึง 96.5% เป็นเปอร์เซ็นต์ที่เหมาะสม เมื่อมีการนำมาเผาจะพบว่าสีที่ออกมาก็ยังเป็นสีทองอยู่ หากเทียบกับทองชนิดอื่นที่ได้รับความนิยม อย่างทองฝรั่ง 18 เคหรือทองที่มีเปอร์เซ็นต์ 75% หรือทองคำของฮ่อกง ก็มีเปอร์เซ็นต์ทองแค่ 91.6% ขณะที่ราคาจำหน่ายสูงกว่าทองของไทย แต่เมื่อเทียบเปอร์เซ็นต์แล้ว ก็น้อยกว่าของไทยมาก เป็นเรื่องที่ควรให้โลกได้รับรู้

อีกเรื่องที่มีการสงสัยว่าทำไหมมาตรฐานทองของร้านทองในไทยไม่ยึดที่เปอร์เซ็นต์ 99.99% เพราะด้วยคุณสมบัติในการนำมาใช้งานหรือทำเป็นทองรูปพรรณ เมื่อใช้ไประยะหนึ่งทองจะยืดออกทำให้รูปทรงเปลี่ยนไป เกิดการสูญหายได้ง่าย” นายกสมาคมค้าทองอธิบาย และยังบอกด้วยว่า ทางสมาคมค้าทองคำ อยากให้มีการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมที่ประเทศไทย ที่จะนำเรื่องของ 5G เข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ประกอบการในประเทศ รวมทั้งรักษาไว้ซึ่งคุณภาพและอุดมการณ์ของทองคำไทยที่มีความเป็นตัวจริง

ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เอาไว้ให้ดีที่สุด”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image