ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | วิภา จิรภาไพศาล [email protected] |
เผยแพร่ |
พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ของสยาม “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” เป็นหนึ่งในพระมหากษัตริย์ที่มีการกล่าวถึงมากที่สุดพระองค์หนึ่ง ด้วยทรงกอบกู้แผ่นดินจากคราวเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.2310
เริ่มตั้งแต่ทรงรวบรวมไพร่พลเพื่อกลับมาต่อสู้กับพม่า และทรงสามารถขับไล่พม่าออกจากพระราชอาณาจักรได้ในที่สุด จากนั้นก็ทรงปราบปรามชุมนุมต่างๆ ที่ตั้งตัวเป็นใหญ่ จนถึงการศึกสงครามกับเขมร พม่า หลังจากนั้นอีก
พระราชกรณียกิจของพระองค์จึงเป็นที่จดจําและโจษจันจนถึงปัจจุบัน
ดังจะเห็นได้จากผลงานของนักวิชาการ, นักเขียน ฯลฯ ที่นําเสนอผลงานเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชออกมาเป็นระยะตามสื่อต่างๆ หนึ่งในจํานวนนั้นก็คือ นิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ซึ่งตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมาอย่างต่อเนื่อง และฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 ก็ได้งานของ ดร.ปฐมพงษ์ สุขเล็ก จากมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ที่ชื่อว่า “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรง ปราบก๊กเจ้าพระฝางในฐานะเป็น นิมิตอุบาทว์”
แต่ก่อนที่จะไปดูว่าเกิดนิมิตอุบาทว์อย่างไร ขอกลับไปฟื้นความจําเกี่ยวกับเจ้าพระฝางกันก่อน
ท่านใดเป็นแฟนคลับ “ศิลปวัฒนธรรม” กลับไปดูบทความชื่อ “ศึกเจ้าพระฝาง พ.ศ.2313 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับการปราบ พวกสงฆ์อลัชชี ที่เมืองสวางคบุรี” ของ ธีระวัฒน์ แสนคํา ในฉบับเดือนมีนาคม 2559 ตอนหนึ่ง อธิบายถึงชุมนุมเจ้าพระฝางที่เมืองสวางคบุรีพอสรุปได้ว่า
เมื่อเกิดสงครามเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.2310 เมืองสวางคบุรีนั้นไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ต่อมา เมืองสวางคบุรีตั้งตัวเป็นอิสระในการปกครอง ภายใต้การนําของพระพากุล-เถระสังฆราชแห่งเมืองสวางคบุรี หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า “เจ้าพระฝาง”
เจ้าพระฝาง เดิมชื่อ “เรือน” สอบเปรียญธรรมได้เป็น “มหาเรือน” เป็นภิกษุชาวเมืองเหนือ ที่ลงมาศึกษาเล่าเรียนในกรุงศรีอยุธยา จนได้เป็นพระพากุลเถระ พระราชาคณะ ณ วัดศรีอโยธยา ภายหลังพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงตั้งให้เป็นพระสังฆราชา ณ เมืองสวางคบุรี
เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก เจ้าพระฝางก็ซ่องสุมผู้คนเป็นจํานวนมาก ด้วยมีตําแหน่งเป็นถึงพระสังฆราช และเก่งทางวิทยาคมเป็นที่เลื่อมใสของผู้คน บรรดาเจ้าเมืองกรมการหัวเมืองฝ่ายเหนือตั้งแต่เหนือเมืองพิษณุโลกขึ้นไป ต่างก็เกรงกลัวนับถืออยู่ในอํานาจของเจ้าพระฝางทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม เจ้าพระฝางก็ยังไม่ได้สึกเป็นคฤหัสถ์ หากเปลี่ยนเป็นนุ่งห่มสีแดงเพื่อให้เห็นว่าไม่ใช่พระภิกษุแล้ว แต่ยังเคร่งครัดในศีลบางข้อและยังไม่มีภรรยาได้
สรุปว่า เจ้าพระฝางที่พูดถึงกันบ่อยจึงไม่ใช่เป็นเจ้าเมือง แต่เป็นอดีตพระภิกษุที่มีตําแหน่งถึงสังฆราช
กลับมาเรื่องสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงปราบก๊กเจ้าพระฝางกันต่อ ผู้เขียน (ดร.ปฐมพงษ์ สุขเล็ก) อธิบายถึงทัพของเจ้าพระฝางว่า
“เจ้าพระฝางตั้งแต่งนายทัพนายกองแต่พื้นพระสงฆ์ทั้งสิ้น คือพระครูศิริมานนท์ 1 พระครูเพชรรัตน 1 พระอาจารย์จันทร์ 1 พระอาจารย์ทอง 1 พระอาจารย์เกิด 1 แต่ล้วนเป็นอลัชชีมิได้ละอายแก่บาปทั้งนั้น”
นอกจากนี้เมื่อเจ้าพระฝางรู้ข่าวว่า เจ้าเมืองพิษณุโลกเสียชีวิต เจ้าเมืองคนใหม่ยังขาดประสบการณ์ ก็ยกทัพมาตีเมือง
“…พระอินทรเจ้าเมืองพระพิษณุโลกใหม่นั้นฝีมืออ่อน มิได้แกล้วกล้าในการสงคราม ต่อรบต้านทานอยู่ได้ประมาณสามเดือน ชาวเมืองไม่สู้รักใคร่นับถือก็เกิดไส้ศึกขึ้นในเมือง เปิดประตูรับข้าศึกในเพลากลางคืน ทัพฝางก็เข้าเมืองได้ จับได้ตัวพระอินทรเจ้าเมืองพระพิษณุโลก เจ้าพระฝางให้ประหารชีวิตเสีย แล้วเอาศพขึ้น ประจานไว้ในเมือง
จึงให้เก็บเอาทรัพย์สินสิ่งของทองเงินต่างๆ ของเจ้าเมืองกรมการและชาวเมืองทั้งปวงได้เป็นอันมาก แล้วให้ขนเอาปืนใหญ่น้อย และกวาดต้อนครอบครัวอพยพชาวเมืองพระพิษณุโลกขึ้นไปยังเมืองสวางคบุรีแล้ว ก็เลิกทัพกลับไปเมือง ขณะนั้นบรรดาหัวเมืองเหนือทั้งปวงนั้น ก็เป็นสิทธิแก่เจ้าพระฝางทั้งสิ้น”
ซึ่งพฤติกรรมของชุมนุมเจ้าพระฝาง ถือเป็นหนึ่งใน “นิมิตอุบาทว์”
นิมิตอุบาทว์นั้นมีทั้งหมด 8 ประการ มีการรวบรวมบันทึกไว้ในตําราพิไชยสงคราม โดยเทวดาที่รักษาทิศทั้ง 8 องค์จะสําแดงให้รู้ถึงเหตุร้ายล่วงหน้า ตามบทบาทหน้าที่ของเทวดาแต่ละองค์
สําหรับกรณีของเจ้าพระฝางนั้น เรียกว่า “อุบาทว์พระนารายณ์” ปรากฏนิมิตต่างๆ เช่น เครื่องดนตรีบรรเลงเอง พระพุทธรูปหรือเทวรูปแตกหักเอง สายน้ำไหลเป็นเลือดแล้วหายเป็นปกติดังเดิม พระพุทธรูปหรือเทวรูปมีเหงื่อเลือดไหลออกจากพระองค์ อาวุธตีกันเอง และพระสงฆ์สะสมอาวุธ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ภายหลังปราบก๊กเจ้าพระฝางได้แล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงโปรดให้ชําระพระสงฆ์หัวเมืองเหนือ ส่วนนิมิตอุบาทว์อื่นๆ และความรู้เรื่องดังกล่าวในตําราพิไชยสงคราม กล่าวไว้อย่างไร ขอได้โปรดติดตามเพิ่มจากบทความของ ดร.ปฐมพงษ์ ในนิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนกุมภาพันธ์นี้