สมัยก่อนเรามักจะได้ยินสุภาษิต และคำพังเพยหนึ่งที่บอกว่า…ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ความหมายโดยรวมอธิบายถึงคน สัตว์ สิ่งของที่มีร่างกายใหญ่กว่า มีกำลังมากกว่าจะเป็นผู้พิชิตสิ่งเล็กๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้
ถ้ามองในเรื่องธุรกิจ ต้องบอกว่าบริษัทยักษ์ใหญ่จะได้เปรียบ เพราะสามารถเทกโอเวอร์บริษัทเล็กๆ ให้มาหลอมรวมกัน จนทำให้บริษัทนั้นๆ กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในที่สุด
เสมือนปลาใหญ่กินปลาเล็ก
เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้กับบริษัทของตน
ทั้งยังมีการเพิ่มช่องทางการวางจำหน่ายอย่างกว้างขวาง จนทำให้สินค้าที่นำเข้า ผลิต สามารถส่งต่อ และกระจายไปสู่มือผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว
ซึ่งตัวอย่างนี้มีให้เห็นมากมาย
แต่เมื่อไม่นานผ่านมา ผมไปอ่านบทความชิ้นหนึ่งที่มี “ธนินท์ เจียรวนนท์” ผู้บริหารระดับสูงของซีพี กรุ๊ปพูดบอกว่า…โลกในวันนี้ปลาใหญ่กินปลาเล็กไม่มีอีกแล้ว แต่จะเป็นปลาเร็วกินปลาช้า
พร้อมกันนั้นเขาก็ยกตัวอย่างการสร้างประเทศของจีน และสิงคโปร์
โดยในส่วนของจีน “ธนินท์” มองว่าอดีตประธานาธิบดี เติ้ง เสี่ยว ผิง เป็นผู้วางรากฐานการสร้างชาติมาตั้งแต่ที่เขาเป็นประธานาธิบดี โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา
เพราะเขามองว่าอนาคตประเทศจะเกิดความยั่งยืน คนในชาติต้องมีการศึกษาที่ดี โดยเฉพาะในส่วนของวิศวกร เขาจึงประกาศเป็นนโยบายประเทศในการผลิตบุคลากรทางด้านวิศวกรออกมา
ผลที่เห็นเป็นรูปธรรมคือจีนสามารถสร้างยานอวกาศออกสู่นอกโลกได้ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมาอยู่เสมอ
ยิ่งปัจจุบันเป็นยุคของประธานาธิบดี สี เจิ้น ผิง เขาก็ยังนำนโยบายนี้มาใช้ต่อ เพราะฉะนั้น เยาวชนของจีนในขณะนี้จึงเลือกเรียนวิศวกรกันค่อนข้างมาก
เพราะสามารถต่อยอดเพื่อก้าวไปสู่ประเทศที่มั่งคั่งได้
นอกจากนั้น “ธนินท์” ยังบอกอีกว่าเมื่อประเทศชาติเกิดความมั่งคั่ง สิ่งหนึ่งที่จีนกำลังทำอยู่ขณะนี้คือการฟื้นฟูศิลปวิทยาการทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ และวิทยาศาสตร์
เพราะประเทศของเขาเป็นแหล่งอารยธรรมของโลก ดังนั้น ถ้าคนในชาติมีความรู้เรื่องเหล่านี้ นอกจากจะทำให้รู้รากของประวัติศาสตร์ของตน ยังทำให้ประชาชนเกิดความภูมิใจในชาติของตัวเองด้วย
เนื่องจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะถูกนำมาซึ่งการสร้างแบรนด์อันเป็นความภูมิใจของคนในชาติของตัวเอง
เช่นเดียวกับสิงคโปร์ที่ “ธนินท์” เคยมองเรื่องนี้นานแล้วว่า…สักวันโลกอนาคตจะต้องมีเทคโนโลยีในการผันน้ำทะเลเป็นน้ำกิน น้ำใช้ได้
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ใครพูดเรื่องแบบนี้คงมีคนหัวเราะกันตาย แต่ถ้าศึกษากันดีๆ จะเห็นว่าเรื่องของการสร้างมาริน่า เบย์ แซนด์ในประเทศสิงคโปร์มีการคิดเรื่องนี้มาตั้ง 60 กว่าปีมาแล้ว
เพียงแต่ตอนนั้นคงอาจเป็นแค่เพียงความคิด แต่ปัจจุบันสิ่งที่ “ธนินท์” พูดเกิดขึ้นจริงแล้ว ซึ่งใครจะเชื่อล่ะว่ามาริน่า เบย์ แซนด์ไม่เพียงจะเป็นนวัตกรรมในการผันน้ำทะเลจนกลายเป็นน้ำจืด
หากยังเป็นยุทธศาสตร์ในการพัฒนาน้ำอย่างยั่งยืนด้วย
เพราะเดิมทีสิงคโปร์ต้องซื้อน้ำจากมาเลเซีย แต่เมื่อประเทศเขามีแหล่งน้ำของตัวเอง ทั้งยังพัฒนามาริน่า เบย์ แซนด์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งธุรกิจ เพราะที่นี่มีกาสิโนที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศอย่างมหาศาลอีกด้วย
จึงทำให้เรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ แต่ปัจจุบันกลับเกิดขึ้นแล้วบนดินแดนแห่งนี้
แต่กระนั้น ถ้ามองให้ลึกลงไปจะเห็นว่าเรื่องดังกล่าวล้วนมาจากการวางแผน และต่อยอดทางความคิดทั้งสิ้น ในช่วง 10 ปี แรกของอดีตนายกรัฐมนตรี ลี กวน ยิว เขาวางแผนในการพัฒนาประเทศ
10 ปีต่อมานำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดทุน
จากนั้นในอีก 10 ปีจึงมุ่งพัฒานาการศึกษา และปัจจุบันอยู่ในช่วง 10 ปีที่จะสิ้นสุดในปี 2020 ที่ขณะนี้กำลังมุ่งพัฒนาประเทศเกี่ยวกับการเป็นเมืองเอนเตอร์เทนเมนต์ทั้งระบบ
ขณะที่อีก 10 ปีในอนาคต ที่จะเริ่มต้นในปี 2021-2030 เขาจะพัฒนาประเทศให้กลายเป็นเมืองสีเขียว หรืออีโค ซิตี้ ซึ่งเรื่องเหล่านี้กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป
ฉะนั้น ถ้าลองหยิบยกคำพูดของ “ธนินท์” ที่เกี่ยวกับคำว่าปลาเร็วกินปลาช้า
ทั้ง 2 ประเทศนี้น่าจะเป็นตัวอย่างของการเติบโตทางธุรกิจอย่างชัดเจน ถามว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้นำกลับมาใช้กับการดำเนินธุรกิจเอสเอ็มอีได้หรือไม่
คำตอบคือได้
เพราะถ้าใครคิดจะทำธุรกิจในปัจจุบัน ต้องพยายามมองหาสินค้าที่ตอบสนองลูกค้าให้เร็วที่สุด เพราะความเร็วจะช่วยทำให้สินค้าของเราถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่า
โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่
ถามว่าทำอย่างไร ?
คำตอบคือต้องพยายามเฟ้นหาสินค้าที่มีความแตกต่าง ทั้งยังต้องเป็นสินค้าที่คนรุ่นใหม่ต้องการ ก็น่าจะทำให้เราๆ ท่านๆ กลายเป็นเถ้าแก่โดยไม่ยาก
ตรงนี้อาจพัฒนาจากการศึกษาการทำตลาดออนไลน์ในปัจจุบันดูก่อนก็ได้ว่ามีช่องว่างอะไรบางอย่างซ่อนอยู่บ้างไหม เพราะอย่างที่ “ธนินท์” บอกตอนนี้เป็นยุคของปลาเร็วกินปลาช้าแล้ว
เราจะมัวขายของอยู่กับที่อย่างเดียวไม่ได้แล้ว
เราต้องรุกไปหาลูกค้าข้างนอกด้วย
เพราะลูกค้าเหล่านั้นคือปลา เราจึงต้องออกไปจับปลาให้ถูกที่ถูกทาง
เผื่อบางทีจะได้รวยๆ เสียที
จริงไหมครับ ?