ที่มา | มติชนรายวัน คอลัมน์ เริงโลกด้วยจิตรื่น |
---|---|
ผู้เขียน | จันทร์รอน |
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หากติดตามความเป็นไปในสังคมออนไลน์ จะพบว่าเกิดบรรยากาศของการแสดงอารมณ์รุนแรงในนามของความปรารถนาดีต่อสังคม
คนจำนวนหนึ่งทั้งที่รู้จัก ไม่รู้จัก อยู่ในระดับสังคมเดียวกัน และต่างระดับความเป็นอยู่ ได้อารมณ์เดียวกันคือกราดเกรี้ยวเพื่อให้จัดการสังคมด้วยวิธีการที่ตัวเองปรารถนา
เป็นการแสดงออกที่บอกกล่าวชัดเจนว่า พวกเขาเหล่านั้นเป็น “คนที่มีสำนึกดีงาม” และต้องรวมพลังกันเพื่อสร้าง “สังคมที่ดีงามตามสำนึกนั้น”
บรรดาคนดีเหล่านั้นเหลือที่จะรับกับพฤติกรรมของคนที่ “ขาดสำนึกที่ดีงาม”
ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีแน่นอน เพราะนั่นหมายความว่า ที่สุดแล้วสังคมเรากำลังเคลื่อนเข้าสู่กระแสแห่งจิตสำนึกที่ดีงาม คนจำนวนมากมีความปรารถนาที่จะแสดงตัวเป็นคนที่ดีงาม ปฏิเสธ หรือกระทั่งพร้อมที่จะแสดงให้สังคมได้รับรู้ว่า “รับไม่ได้กับสำนึกที่หลุดจากกรอบของความดีงาม” เลยไปถึงความพร้อมที่จะเสนอตัวออกมาจัดการกับสิ่งที่แปลกปลอมไปจากความดีงามทั้งหมด
ไม่ว่าใครก็ตามที่หลุดเข้าไปในข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ขาด “คุณธรรม จริยธรรม” อันหมายถึงความดีงาม จะถูกกระแสสังคมโหมกระหน่ำรุนแรง
กระแสเช่นนี้ ที่สุดแล้วจะทำให้คนทั่วไปต้องระมัดระวังพฤติกรรมของตัวเองสูงขึ้นเรื่อยๆ ว่าจะไม่ทำอะไรที่นอกกรอบของความดีงาม เพราะเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่งในโลกของเทคโนโลยี การสื่อสารพัฒนาไปมากมายเช่นนี้จะทำให้เรื่องราวนั้นถูกเปิดเผยให้เชื้อไฟที่ลุกโชนขึ้นมาหล่อหลอมค่านิยมแห่งความดีงาม
ในภาวะเช่นนี้น่าจะถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของสังคมไทย
สังคมที่ความดีงามจะได้รับการเชิดชู ความไร้คุณธรรม ไร้จริยธรรมจะถูกข่มประณาม และทำลาย
แน่นอนว่านี่ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี
เพียงแต่ว่า ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ มีคนกลุ่มหนึ่งพยายามที่จะเป็นผู้กำหนดว่าอะไรเป็นความดีงาม อะไรเป็นความเลวร้าย
การแสดงตัวตนที่จะเป็นผู้กำหนด และการตัดสินว่าอะไรดีอะไรเลวเป็นกระแสที่ต่างคนต่างแสดงเพื่อโชว์ว่าตัวเองเป็น “คนดีอย่างโดดเด่น”
ถ้าสังเกตความเป็นไปจะพบว่า บ่อยครั้งมากที่การแสดงความดีงามเป็นไปด้วยวิธีชี้ให้เห็นความเลวร้ายของคนอื่น หาใช่การแสดงความดีที่ตัวเองได้กระทำไม่
คล้ายกับว่าการออกมาตัดสินและเรียกร้องให้จัดการกับคนอื่นที่ตัวเองเห็นว่า “ไร้จริยธรรม ไร้คุณธรรม” เป็นการแสดงความดีที่วิเศษสุดแล้ว
หากเข้าไปติดตามความเป็นไปจะพบว่า บ่อยครั้งที่การแสดงความเป็นคนดีด้วยการชี้ให้เห็นความเลวร้ายของคนอื่นนี้มากไปด้วยท่าทีที่เกรี้ยวกราด เหมือนกับความยิ่งแสดงความโกรธแค้นต่อความชั่วร้ายมากเท่าไร จะทำให้คนอื่นเห็นตัวตนเป็นคนดีมากขึ้นเท่านั้น
ที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ บ่อยครั้งเมื่อพฤติกรรมใดพฤติกรรรมหนึ่งถูกตัดสินว่าชั่วช้าเลวทรามถูกนำมาเปิดโปงประจานและก่นด่า เพื่อโหมกระพือความเกลียดชัง จะได้รับความเข้าใจจากบางคนที่พยายามมองให้เห็นต้นเหตุที่มาของเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า บางทีเป็นแค่ความผิดพลาด ไม่น่าจะเลยเถิดไปถึงความเลวทรามจนอยู่ร่วมกันไม่ได้
แทบทุกครั้งการชี้แจงด้วยความเข้าใจนั้นกลับก่อความรู้สึกว่าเต็มไปด้วยเหตุผล ไม่มีความเกรี้ยวกราด รุนแรงทางอารมณ์ เหมือนกับท่าทีของ “เหล่าคนดี”
แต่ดูเหมือนว่า “สังคมที่ดีงาม” ตามความรู้สึกของคนบางกลุ่มบางพวกนี้ มีแต่จะมุ่ง “ตัดสิน” และ “ประณาม” เร้าเราให้ใช้มาตรการขจัดอย่างรุนแรง ไม่ยินยอมที่จะอยู่ร่วมสังคมกับคนที่ตัวเองตัดสินแล้วว่าต่ำช้า
เรากำลังเริ่มสร้างสังคมดีงามด้วยการไล่ล้างสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าเลวร้ายด้วยอารมณ์ที่รุนแรง และหลายครั้งอย่างไร้เหตุผลและขาดสติ
ซึ่งได้แต่ภาวนาว่า การสร้างสังคมแห่งความดีงามจะก้าวไปอีกขั้นโดยเร็ว
นั่นคือ สังคมที่มุ่งสำรวจตรวจสอบความเลวร้ายในจิตใจของตัวเอง และพยายามให้ตัวเองทำดี แทนที่จะเอาแต่พิจารณาความไม่ดีของคนอื่นโดยไม่ใส่ใจมองตัวเอง