เดินไปในเงาฝัน : บันไดแห่งความสำเร็จ

ระยะหลังมีโอกาสไปสัมภาษณ์ และพูดคุยกับผู้บริหารระดับสูง และผู้บริหารรุ่นใหม่ขององค์กรระดับสากลมากขึ้น จนทำให้รู้สึกว่าโลกแห่งการทำงานในปัจจุบันมันแคบลงจริงๆ

คนจากประเทศหนึ่งมาทำงานในอีกประเทศหนึ่ง

คนจากเชื้อชาติหนึ่ง ศาสนาหนึ่งมาหลอมตัวรวมกันกับคนอีกหลายเชื้อชาติ และอีกหลายศาสนา โดยไม่มีปัญหาแต่ประการใด

ทั้งดูเหมือนจะเป็นองค์กรแห่งความหลากหลายที่ทำให้บริษัทเหล่านั้นเติบโตไปในทิศทางที่ดีด้วย ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินธุรกิจ ระบบความคิดที่เกิดการแลกเปลี่ยนอย่างเป็นกันเอง จนเกิดเป็นธุรกิจใหม่ๆ ขึ้น

Advertisement

ก็ล้วนเกิดจากการระดมสมองของพวกเขาเหล่านั้น

ผมถามผู้บริหารระดับสูงเหล่านั้นว่าคนที่มาจากหลากหลายสถานที่บนโลกใบนี้ทำให้บริษัทเติบโตอย่างไร?

เขาตอบว่าพวกเขามีความฝัน และมีเป้าหมาย เขารู้ดีว่าองค์กรให้อะไรกับเขา และเขาจะสนองตอบต่อองค์กรอย่างไร

Advertisement

ที่สำคัญพวกเขามีความสุขในการทำงาน

มีเพื่อนที่มาจากหลายประเทศ

และทุกคนมีความฝันที่ต้องการเติบโตในองค์กร แม้วันนี้เขาอาจทำงานในเมืองไทย แต่การที่บริษัทมีสาขากระจายอยู่ทั่วโลก วันหนึ่งเขาอาจอยากกลับบ้าน เพื่อไปทำงานในประเทศของตนก็ได้

หรืออยากไปหาประสบการณ์ในประเทศอื่น

เขาก็สามารถทำได้

ถ้าเขามีความสามารถเพียงพอ

เพราะเราเปิดโอกาสให้เขาเต็มที่

เพราะฉะนั้น เมื่อทุกคนต่างมีเป้าหมายชัดเจน แถมยังมีความฝันเป็นของตนเอง เขาจึงพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำงานอย่างหนัก ทางหนึ่งเพื่อให้ทุกคนยอมรับในความสามารถ

ขณะที่อีกทางหนึ่งก็เพื่อไต่บันไดแห่งความสำเร็จเพื่อให้ทีมงานรู้สึกภูมิใจ

เพราะคนที่สามารถไต่บันไดความสำเร็จได้เร็ววัน นอกจากจะเติบโตเป็นเดอะสตาร์ขององค์กร พวกเขาเหล่านี้ยังมีโอกาสเติบโตในการทำงานสูงด้วย

เพราะเรามีโปรแกรมเพื่อสอนเขาให้กลายเป็นผู้บริหารในวันข้างหน้า

ซึ่งผมฟังแล้ว ก็ทำให้รู้สึกว่าเรานี่เกิดเร็วไปหน่อยจริงๆ เพราะถ้าเกิดช้ากว่านี้คงตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ จีน และภาษาอื่นๆ ให้แตกฉาน

เพื่อจะได้ทำงานในองค์กรแบบนี้บ้าง (555)

ในทางเดียวกัน เมื่อมีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหารรุ่นใหม่ ก็ต่างได้รับคำตอบที่สอดรับไปในระนาบเดียวกัน พวกเขาบอกผมว่าส่วนใหญ่พวกเราจบปริญญาตรี ปริญญาโทจากต่างประเทศ

และในทีมของพวกเราเป็นเจเนอเรชั่นวาย แต่ละคนมาจากหลายประเทศ บางคนอยู่แผนกเดียวกัน แต่บางคนก็อยู่คนละแผนก

แต่เมื่อองค์กรมีนโยบายการสร้างทาเลนท์ พูล หรือกลุ่มคนที่มีความสามารถ โดยดูจากความทุ่มเทในการทำงาน ความเป็นทีมเวิร์ก ไหวพริบ สติปัญญาในการแก้ปัญหา และวิสัยทัศน์ในการคิดธุรกิจใหม่ๆ ขึ้นมา

พวกเราจึงมารวมตัวกัน

ในกลุ่มทาเลนท์ พูล นอกจากจะได้เรียนรู้ทฤษฎีในการประยุกต์ใช้กับการทำงาน เรายังมีการคิดโปรเจ็กต์ใหม่ๆ ออกมา ซึ่งโปรเจ็กต์เหล่านี้ บางทีนำไปพัฒนาเพื่อเกิดธุรกิจใหม่ๆ ได้

เพราะตอนพรีเซนต์โปรเจ็กต์จะมีแบรนด์ เมเนอร์เจอร์มาร่วมรับฟัง ซึ่งพอเขารับฟัง เขาจะรู้เลยว่าโปรเจ็กต์ไหนสามารถสร้างเป็นธุรกิจได้จริง

พูดง่ายๆ คือพร้อมต่อยอดธุรกิจทันที

นอกจากนั้น เรายังมีฟิลด์ทริปไปยังสาขาต่างๆ ของเราในต่างประเทศ เพื่อให้ทุกคนเกิดแรงบันดาลใจในการทำงาน ทั้งยังเป็นการเรียนรู้การทำงานภาคสนามของเพื่อนพนักงานในต่างประเทศด้วย

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นโอกาสที่ทำให้เรานำประสบการณ์ ไอเดีย กลับมาพัฒนางานของบริษัทอีกทางหนึ่งด้วย เพราะพวกเราจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันประมาณ 1 ปี

ทั้งเรียนทฤษฎี และลงภาคสนาม

เพราะฉะนั้น พวกเราจึงสามัคคีกัน สำคัญไปกว่านั้น เรายังสามารถเน็ตเวิร์กกันต่อ จนทำให้กำแพงที่เคยกั้นระหว่างแผนกถูกทำลายลงด้วย

จนเกิดเป็นทีมเวิร์ก

ที่ไม่เพียงจะทำให้พวกเราช่วยเหลือซึ่งกัน และกัน หากยังทำให้พวกเรากลายเป็นเพื่อนกันอีกด้วย และถ้าต่อไปพวกเราเติบโตขึ้น จนมีใครในกลุ่มไปประจำประเทศต่างๆ ก็จะทำให้เกิดการติดต่อประสานงานกันง่ายขึ้น

จนทำให้องค์กรไม่ประสบปัญหาเรื่องการสื่อสารเลย

เพราะพวกเราต่างเป็นเพื่อนกันมาก่อน

ผมฟังแล้ว ก็ชมเขากลับไปในทันทีว่าโลกธุรกิจในยุคต่อไปอยู่ในมือพวกคุณแล้ว พวกคุณจงช่วยกันขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนด้วย

ผมจะเฝ้ารอดูความสำเร็จของพวกคุณ

พวกเขากล่าวขอบคุณผม

ผมเองก็รู้สึกขอบคุณพวกเขาเช่นกัน ที่มาช่วยเปิดกะโหลกหนาๆ ให้พอมีอะไรเข้าไปในหัวบ้าง แม้จะรู้อยู่ว่าอนาคตก็เป็นเรื่องของอนาคต

เพราะวันหนึ่งพวกเขา และเธออาจถูกซื้อตัว

ย้ายไปอยู่ที่อื่น

หรือไปประกอบอาชีพส่วนตัว

เพราะสิ่งที่พวกเขาบอกผม อาจแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ แต่กระนั้น ผมก็แอบเชื่อว่า ถ้าเขามีความรักดีในเรื่องเหล่านี้อยู่ในจิตสำนึก ผมก็เชื่อว่าไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน? ทำอะไร?

เขาจะประสบความสำเร็จอย่างแน่อน

ผมเชื่อเช่นนั้นนะ?

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image