ที่มา | หน้าประชาชื่น, มติชนรายวัน ฉบับวันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2563, หน้า 13. |
---|---|
ผู้เขียน | สร้อยดอกหมาก สุกกทันต์ |
“จะโดยตรงหรืออ้อม มันบอกเล่าความจริงบางอย่าง”
คือถ้อยความของ บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เปล่าเลย ประโยคข้างต้นไม่ใช่ส่วนหนึ่งของบทวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองดังเช่นที่สังคมคุ้นเคยต่อบทบาทของนักวิชาการท่านนี้ ผู้มี(วิ)วาทะเฉียบคมขยี้ปมสังคมการเมืองไทยที่ขยับดีกรีความร้อนจนปรอทเฉียดแตกในวันนี้ วันที่ไวรัสโควิด-19 หยุดโลกทั้งใบไว้เป็นการชั่วคราว
เช่นเดียวกับนิทรรศการศิลปะ ‘Momentos/Monuments & reMinders ‘ ซึ่งเดิมมีกำหนดเปิดงานในวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา ณ แกลเลอรี่ขื่อสะดุดหู ‘แผนสำเร็จ’ ก็เป็นอันไม่ทันสำเร็จ ต้องพับโปสเตอร์แล้วกักกันตัวเองอย่างไม่มีกำหนด
และประโยคข้างต้น คือคำกล่าวถึงผลงานศิลปะชุดนี้ ที่ บัณฑิต นั่งเก้าอี้ ‘คิวเรเตอร์’ หรือภัณฑารักษ์ ด้วยความสนใจในประเด็นสังคม การเมือง อันเป็นธรรมชาติของนักรัฐศาสตร์ ผนวกกับความสนใจส่วนตัวในด้านศิลปะ ครั้นได้เห็นผลงานและพัฒนาการของศิลปินหนุ่ม 2 ราย ซึ่งเป็นลูกศิษย์ปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ นิทรรศการอันว่าด้วย ความทรงจำ อนุสาวรีย์ และการระลึกถึงจึงเกิดขึ้น
วนะ วรรลยางกูร
อาจิณโจนาทาน อาจิณกิจ
คือ 2 ศิลปินที่กล่าวถึง
นอกจากนี้ ยังมีผลงานของศิลปินผู้ล่วงลับ นาม ล้วน เขจรศาสตร์ ที่มีเรื่องราว ‘ข้างหลังภาพ’ ไม่ธรรมดา
“ผมเห็นงานของ วนะ และอาจิณโจนาทานมาหลายปี พอเห็นประเด็นที่เขาพูดก็สนใจเพราะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เราได้เห็นพัฒนาการของอะไรบางอย่าง มันก็เป็นเรื่องเล่าชุดหนึ่ง ส่วนงานของพี่ล้วนก็น่าสนใจ เลยคิดว่ามันจะมีเรื่องเล่าที่อยู่ด้วยกันไหมสำหรับ 3 คนนี้ พอดีผมมีพื้นที่ที่เตรียมไว้นานแล้ว แต่ยังไม่ได้ใช้ทำอะไร” อาจารย์รัฐศาสตร์ในฐานะคิวเรเตอร์ หมายถึง ‘แผนสำเร็จ’ แกลอรี่ในตึกแถวเก่าแก่ย่านแม้นศรี

ถามว่าทำไมจึงเรียกนิทรรศการชุดนี้ว่า ‘Momentos/Monuments & reMinders ‘
“งานของวนะ พูดถึงวีรบุรุษ บุคคลสำคัญในมุมมองของเขา ทำให้เห็นว่ามันมีความเปลี่ยนแปลง มีความไม่ลงรอยของประวัติศาสตร์ ถ้าพูดจากมุมมองของวีรบุรุษที่กลายเป็นอนุสาวรีย์ อย่างนโปเลียนที่ขยายเป็น 3 คน แทนที่จะเป็นอนุสาวรีย์วีรบุรุษอย่างเดียวก็มีเรื่องเล่าเพิ่มขึ้นมา เขามีความคิดน่าสนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมือง เป็นที่มาของผลงานการสืบทอดอำนาจ การยึดอำนาจ สนใจ พูดง่ายๆ คือเรื่องการต่อสู้ทางอุดมการณ์” บัณฑิต กล่าว
ส่วนงานของอาจิณโจนาทาน คิวเรเตอร์ท่านนี้บอกว่าช่วยย้ำเตือนความทรงจำว่าเกิดอะไรขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
“งานของเขาไม่ซับซ้อน ขั้นตอนง่ายๆ เลย คือการเปิดกูเกิ้ลแล้ววาดว่าอะไรที่เลือนหายไป เพื่อเตือนเราว่าเคยมีสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงความคงที่บางอย่างของประวัติศาสตร์ ถึงแม้จะเปลี่ยนตัวบุคคล แต่เซ็ตคำอธิบายเหมือนเดิม ถือเป็นงานที่น่าสนใจ”

มาถึงไฮไลต์จากปลายพู่กันของ ล้วน เขจรศาสตร์ ซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของนักเขียนชื่อดัง วัฒน์ วรรลยางกูร ที่ในวันนี้อยู่ในฐานะ ‘ผู้ลี้ภัย’
บัณฑิต บอกว่า เป็นผลงานที่ยิ่งทำให้เห็นอะไรบางอย่างที่น่าสนใจยิ่ง
“งานของเขาเขียนในป่า ทั้ง 3 ชิ้น ประกอบด้วย ภาพลายเส้น 1 ภาพ ซึ่งในความจริงมีรอยตัดที่มีเรื่องเล่าว่าเป็นความจงใจตัดตรงนั้น เพื่อไม่ให้เห็นบางส่วน เพราะต้องการจะขาย แต่ก็ขายไม่ได้ ทั้ง 2 ส่วนเลยยังคงอยู่อีก 2 ชิ้นคือภาพทิวทัศน์ธรรมดา เป็นภาพสีน้ำบนกระดาษ แต่พอคิดไปคิดมา ทั้ง 3 ภาพมันคือภาพที่เขียนระหว่างการรบ คือสงครามระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กับรัฐบาลไทยที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน งานของพี่ล้วนจึงเป็นเรื่องของสงครามเย็น สงครามอุดมการณ์ ที่ผ่านไป40 กว่าปีมาแล้ว แต่ถามว่า 40 ปี สังคมไทยเปลี่ยนไปขนาดไหน คำตอบคงไม่ต้องพูดกัน” บัณฑิตทิ้งท้าย ก่อนสรุปว่า
“งาน 3 ชุดในนิทรรศการนี้ที่นำมาวางรวมกัน จะโดยตรงหรืออ้อม มันบอกเล่าความจริงบางอย่าง”

หันมาคุยกับศิลปินอย่างมีระยะห่างเกิน 2 เมตรกันบ้าง วนะ วรรลยางกูร ผู้ปีนรั้วสำนักวังท่าพระออกมาเป็นตัวของตัวเองอย่างผ่าเผย ไม่ปิดบัง นำเสนอ 7 ภาพใน ‘ความหมายแฝง’ ของอนุสาวรีย์ ประวัติศาสตร์คู่ขนาน และเรื่องเล่าเชิงลึกของวีรบุรุษ
’เรื่องเล่าของเดวิด’ คือผลงานเตะตา ทั้งด้วยความใหญ่โตของขนาด และความคุ้นชินของผู้คนที่มีต่อประติมากรรมระดับโลก นาม ‘เดวิด’ จากมิวเซียมและงานศิลปะมากมาย หากมองเพียงผิวเผิน อาจได้สบตาเพียงหนุ่มรูปงามในตำนานของมวลมนุษยชาติ ทว่า หากเพ่งมองลึกลงไปในรายละเอียด วนะ ได้สอดแทรกเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทยไว้อย่างลุ่มลึก แนบเนียน และชวนขบคิด
“ประวัติเดิมของเดวิดที่เป็นประติมากรรม คือเรื่องเด็กหนุ่มที่สู้กับยักษ์ เลยนำเดวิดมาเทียบเคียงเพื่อเล่าเรื่องทางการเมือง เปรียบเทียบกับการต่อสู้ภาคประชาชนว่าเหมือนคนซึ่งลุกขึ้นมาสู้กับอำนาจที่มันใหญ่มาก เหมือนเดวิดที่ลุกขึ้นมาสู้กับยักษ์ ผมยังแฝงภาพเหตุการณ์ทางการเมือง เช่น 6 ตุลา ภาพงานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่ส่งเสริมขบวนการภาคประชาชนไว้ด้วย”

ส่วนภาพที่เกี่ยวข้องกับวีรบุรุษในประวัติศาสตร์ อย่าง ’นโปเลียน’ วนะตั้งใจเลือกเพราะเป็นวีรบุรุษสงครามที่ทั่วโลกรู้จัก โดยสร้างสรรค์ผลงานให้ผู้ชมลองตีความกันดูอย่างอิสระ
“ในเชิงประติมากรรม รูปเคารพ เป็นการพูดด้านเดียว สิ่งที่ต้องการทำคือ ประวัติศาสตร์คู่ขนานหรือประวัติศาสตร์อีกด้านที่ประวัติศาสตร์กระแสหลักไม่ได้พูดถึง หรือว่าจงใจข้ามเรื่องเล่าพวกนี้ไป” วนะกล่าว

อีกหนึ่งภาพที่มีความหมายต่อจิตใจ ไม่ว่าจะต่อศิลปินอย่างวนะ ในฐานะ ‘ลูกชาย’ ของ พ่อผู้ลี้ภัย วัฒน์ วรรลยางกูร นั่นคือ ภาพของพ่อ ที่เจ้าตัวถ่ายทอดความรู้สึกผ่านฝีแปรงออกมาเป็นผลงานสะเทือนอารมณ์ด้วยเรื่องราวเบื้องหลัง
“ทำได้แค่อยู่ข้างๆ”
ความในใจของลูกชายที่ในวันนี้กำลังจะเป็น ‘พ่อ’ เช่นกัน
เมื่อได้มองภาพนี้ในวันติดตั้งนิทรรศการบนผนังว่างเปล่าของแกลเลอรี่ วนะบอกว่า ถ้าจะให้เปรียบเทียบ ไม่ว่าจะพูดในฐานะลูกถึงพ่อ หรือพ่อถึงลูก หรือพี่น้องก็ตาม เวลาใครเจอวิกฤตที่เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว วึ่งรวมถึงเพื่อนและคนที่คิดแบบเดียวกัน เชื่อว่าต้องสะเทือนใจ
ปิดท้ายด้วยถ้อยความจาก อาจิณโจนาทาน อาจิณกิจ ศิลปินผู้มีชื่อจริงชวนจดจำไม่รู้ลืม คล้ายคำสมาสจากนามนักเขียนระดับตำนาน และตัวละครในวรรณกรรมก้องโลก
นอกเหนือจาก ‘รถถัง’ และความเรียบง่ายไม่ซับซ้อนตามที่คิวเรเตอร์รัฐศาสตร์กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น ยังมีผลงานที่มีแนวคิดน่าสนใจอย่างการนำ 2 อนุสาวรีย์บุคคลสำคัญต่างยุคสมัยมาประกอบ ‘หัว-ท้าย’ เข้าด้วยกัน เพื่อสะท้อนการเมืองไทยร่วมสมัยที่เจ้าของผลงานบอกว่า
“(แม้) ต่างยุค ต่างสมัย แต่ถูกระลึกถึงในแบบเดียวกัน เมื่อประกอบร่างกันแล้วมันอาจจะบอกเราถึงภาวะการเมืองไทยที่ตกทอดเป็นมรกดให้กับคนรุ่นเราได้” อาจิณโจนาทานกล่าว
นี่คือส่วนหนึ่งของเรื่องราวชวนปะติดปะต่อจากนิทรรศการที่ต้องรับชมผ่าน ‘หน้ากระดาษ’ และ ‘หน้าจอ’ ในห้วงเวลาที่รัฐบาลไทยรณรงค์ #หยุดเชื้อเพื่อชาติ ระหว่างรอวันจัดตารางใหม่หลังวิกฤตโควิด-19 ติดตามความเคลื่อนไหว สอบถาม และชมผลงานได้ผ่านเฟซบุ๊ก แผนสำเร็จ co-creative space & gallery