ที่มา | คอลัมน์ สุวรรณภูมิในอาเซียน มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | เอนก สีหามาตย์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร |
เผยแพร่ |
ปรางค์นางผมหอม (บ้านโคกคลี ต. หนองรี อ. ชัยบาดาล จ. ลพบุรี) มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-17 (พ.ศ. 1500-1600) เป็นปรางค์องค์เดียวโดดๆ ก่อด้วยอิฐ สอด้วยดิน ปัจจุบันยอดหัก
มีประตูทางเข้า กรอบประตูทำด้วยหินทราย ชาวบ้านเล่าว่ามีศิลาทับหลังแกะสลักเป็นรูปคนกับม้าสวยงามแต่ได้ถูกโจรกรรมไป
มีนิทานนางผมหอมซึ่งเป็นนิทานที่คนท้องถิ่นเล่าสืบต่อกันมาจนปัจจุบัน
เทคนิคการก่อสร้างปรางค์นางผมหอม คล้ายกับปรางค์ในเขตภาคอีสาน เช่น ปราสาทศรีขรภูมิ (จ. สุรินทร์), ปราสาทเมืองต่ำ (จ. บุรีรัมย์)
หากขึ้นไปทางเหนือก็จะมีเทคนิคอย่างเดียวกับปรางค์สองพี่น้อง เมืองศรีเทพ (จ. เพชรบูรณ์), ปรางค์เขาปู่จ่า ปรางค์ก่ออิฐที่เก่าที่สุดของเมืองสุโขทัย (อ. คีรีมาศ จ. สุโขทัย)
เชื่อมวัฒนธรรมขอมอีสานกับภาคกลาง
ปรางค์นางผมหอมเป็นศาสนสถานที่ตั้งอยู่บนเส้นทางโบราณที่สำคัญ แสดงถึงการแผ่ขยายอำนาจทางสังคมวัฒนธรรมจากอีสาน ลงมาสู่ลพบุรี โดยผ่านทางเขาพังเหย (เทือกเขาเพชรบูรณ์)
จากปรางค์นางผมหอมมีเส้นทางเชื่อมระหว่างเมืองโบราณภาคกลางกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือลำน้ำเค็ม เขต อ. เทพสถิต จ. ชัยภูมิ และแยกไปทางใต้เรียกว่า ลำกูด เขต อ. ด่านขุนทด จ. นครราชสีมา ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับปราสาทหินพิมายได้
อีกด้านหนึ่งเป็นเส้นทางไปทางภาคเหนือมีหลักฐานว่าน่าจะเชื่อมโยงกับปรางค์สองพี่น้องเมืองโบราณศรีเทพ จ. เพชรบูรณ์ และขึ้นไปที่สุโขทัย โดยมีปรางค์ปู่จ่า ที่ตั้งอยู่ในที่ราบเชิงเขาประทักษ์บ้านนาเชิงคีรี อ. คีรีมาศ จ. สุโขทัย
ปรางค์นางผมหอม เป็นปรางค์ก่ออิฐ กรอบประตูใช้หินทรายเลียนแบบเครื่องไม้ มีลักษณะคล้ายกับปรางค์ที่เมืองศรีเทพ ปราสาทเมืองต่ำ และปรางค์ปู่จ่า ที่ ต. นางเชิงคีรี อ. คีรีมาศ จ. สุโขทัย
โบราณสถานแห่งนี้ถูกทอดทิ้งเป็นเวลานาน ทับหลังถูกโจรกรรมและมีการลักลอบขุดค้นหาโบราณวัตถุ ทำให้ฐานปรางค์ทรุดเอียงผนังแตกร้าว
โครงการบูรณะโบราณสถานลพบุรี (ในขณะนั้น พ.ศ. 2530) จึงได้สำรวจ จัดทำรูปแบบแผนผังโบราณสถานปรางค์นางผมหอม เพื่อขุดแต่งบูรณะพร้อมขุดค้นทางโบราณคดีเพื่อศึกษาพัฒนาการชุมชนในแหล่งโบราณคดีปรางค์นางผมหอม
ในการสำรวจก่อนการขุดค้นที่เส้นทางโบราณบริเวณบ้านโป่งหีบกับช่องเขาขาด บริเวณเทือกเขาพังเหย หรือช่องเขาสะพานหิน พบโบราณวัตถุบนผิวดิน มีรูปแบบและลักษณะเช่นเดียวกับที่พบในเมืองพิมายที่บริเวณปรางค์นางผมหอมด้วย ซึ่งทำให้มีเหตุผลว่ามีการใช้เส้นทางดังกล่าวในการติดต่อกันจากภาคอีสานเข้าสู่ภาคกลางและสร้างศาสนสถานตามจุดพักในเส้นทาง และมีการขยายตัวเป็นชุมชนขึ้นมา