เป็นประเด็นตามข่าวในพุทธศักราชสองพันห้าร้อยหกสิบสาม สำหรับ ‘บ่อน’ กลางกรุง ซ้ำล่าสุดมีนักการเมืองดังออกมาบอกว่าใน ‘สภา’ ก็มีบ่อน ขยับอุณหภูมิร้อนขึ้นมาอีกระดับ
ย้อนไปเมื่อนับร้อยปีก่อน การพนันหลากรูปแบบก็ฮิตมากในสยาม ดังที่ ‘วีรยุทธ ปีสาลี’ ค้นคว้าไว้อย่างละเอียด เผยแพร่ในหนังสือ ‘กรุงเทพฯ ยามราตรี’ โดยสำนักพิมพ์มติชน ระบุว่า นอกเหนือจากการนอนแล้ว กิจกรรมยามค่ำคืนในบ้านของชาวพระนคร คือการเล่นพนันที่นับเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ โดยเฉพาะไพ่ ซึ่งมีมาตั้งแต่ยุโรปยุคกลางก่อนมีไฟฟ้าใช้เสียอีก ส่วนอังกฤษก็ฮิตมากในกลุ่มคนมั่งคั่ง ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1820
ส่วนในกรุงเทพฯ มีหลักฐานว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 คนชั้นสูงนิยมมาก รวมถึงมีการเล่นไพ่ในหมู่แขกเหรื่อตะวันตกในวงอาหารค่ำ
ครั้นสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 การเล่นไพ่ ยังฮิตต่อเนื่อง ทั้งบ้านเรือน สโมสรและสมาคมต่างๆ โดยเฉพาะหลังจากภาครัฐยกเลิก ‘บ่อนเบี้ย’ ถาวรในพ.ศ.2460 คนกรุงเทพฯ เลยเปลี่ยนมาเล่นไพ่แทน
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพฯ เดลิเมล์ เขียนถึงปรากฏการณ์นี้ว่า
“ตั้งแต่หวยแลบ่อนเบี้ยได้เลิกมาแล้ว มีผู้ที่ชอบเล่นการพนันพากันติดบ่อนไพ่ ตั้งแต่เล่นตามห้องแถวตลอดทั่วไป ทุกถนนหนทาง ที่สุดจนบ้านเรือนราษฎร ตามตรอกซอกถนนทั่วไป จนดื่นลูกตานับไม่ถ้วน”
นอกจากนี้ ยังปรากฏข่าวว่า
“ที่บ้านผู้มีบรรดาศักดิ์ผู้หนึ่งอยู่แถวโรงพยาบาลศิริราชได้ลักติดบ่อนไพ่อยู่เสมอ ทั้งกลางวันกลางคืน ภรรยาของท่านเป็นหัวหน้าพวกผู้หญิงลูกเมียชาวบ้านพากันเข้าไปเล่น เกิดเป็นหนี้สินให้ผัวเมียแถวนั้นวิวาทกันบ่อยๆ”
ทั้งนี้ เมื่อรัฐพยายามยกเลิกการออกใบอนุญาตเล่นไพ่ในยามค่ำคืน ได้มีข้อโต้แย้งว่า ไม่ควรยกเลิก เพราะไม่เห็นเป็นโทษ แต่เป็นการรวมญาติมิตร แถมยังช่วยให้พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ขายของยามค่ำคืนมีรายได้ ไม่ว่าจะเป็น เจ๊กขายข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยวผัด ขนมจีน ข้าวแกง เจ๊กขายน้ำแข็ง เป็นต้น
นอกจากนี้ ในวงพนันขันต่อ ยังเป็นวง ‘นินทา’ และปรับทุกข์ จนถูกเรียกเสียดสีว่าเป็น ‘นินทาสโมสร’ อีกด้วย