ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | กฤตยา เชื่อมวราศาสตร์ |
เผยแพร่ |
สําหรับผู้ชื่นชอบดนตรีคลาสสิก การเดินทางมาแสดงคอนเสิร์ตของ วงเวียนนา เรดิโอ ซิมโฟนี ออเคสตรา (Vienna Radio Symphony Orchestra) หรือ RSO Wien 1 ในวงออเคสตราที่มีชื่อเสียงจากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ณ หอประชุมมหิดลสิทธาคาร มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ในวันที่ 9 และ 10 กุมภาพันธ์ คงสร้างความตื่นเต้นมิใช่น้อย เพราะนั่นเท่ากับว่า ไม่ต้องตีตั๋วบินตรงไปยังกรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย ไม่ต้องเสียค่าที่พัก ก็ได้ฟังดนตรีดีมีคุณภาพส่งตรงจากเมืองหลวงแห่งดนตรีคลาสสิกของโลก
คอนเสิร์ต “เรดิโอ ซิมโฟนี ออเคสตรา เวียนนา” จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐออสเตรียประจำประเทศไทย และวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ทูตออสเตรียเปิดบ้านต้อนรับอบอุ่น
การแถลงข่าว จัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ณ บ้านพักของ มร.เอ็นโน่ โดรฟินิก เอกอัครราชทูตออสเตรียประจำประเทศไทย ซอยนันทา-โมสาร์ท เขตสาทร กรุงเทพมหานคร โดย จูริ เซกิ กูชิ-โดรฟินิก ภริยา เข้าครัวเตรียมอาหารจัดเลี้ยงแขกที่มาร่วมงานด้วยตัวเอง
มร.เอ็นโน่เผยความรู้สึกว่า ยินดีมากที่วงอาร์เอสโอเดินทางมาเปิดการแสดงในประเทศไทย เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่วงออเคสตรา 1 ใน 4 วงยิ่งใหญ่ของออสเตรียมาแสดงที่กรุงเทพฯ
วงเวียนนา เรดิโอ ซิมโฟนี ออเคสตรา สังกัดองค์กรกระจายเสียงของออสเตรีย ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ.1969 เพื่อบรรเลงออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียง ตั้งแต่การออกอากาศเป็นระบบอนาล็อกกระทั่งปัจจุบันที่ออกอากาศด้วยระบบดิจิตอล ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนได้ฟังดนตรีดีๆ ในชีวิตประจำวัน เป็นการใช้สื่อมวลชนส่งเสริมวัฒนธรรม ให้ประชาชนตระหนักได้ว่าดนตรีสำคัญต่อชีวิตอย่างไร
อาร์เอสโอเป็นหนึ่งในสมาชิกกิตติมศักดิ์ของหอแสดงอันทรงคุณค่า 2 แห่งคือ Vienna Musikverein และ Wiener Konzerthaus และยังได้รับเชิญไปแสดงในเทศกาลดนตรีสำคัญๆ ทั้งในออสเตรียและระดับนานาชาติ และความต่างที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของวงคือ นิยมบรรเลงเพลงคลาสสิกของนักประพันธ์รุ่นใหม่
กล่าวได้ว่าอาร์เอสโอออกเดินทางทั่วโลกเพื่อเผยแพร่ความยิ่งใหญ่ ซึ่งฤดูกาลนี้นอกจากกรุงเทพมหานครแล้ว ยังไปแสดงที่ไต้หวัน และกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
“สิ่งหนึ่งที่ยืนยันความยิ่งใหญ่และฝีมือของวงคือ ในเทศกาลดนตรีที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ณ เมืองซาลซ์บูร์ก (Salzburg) บ้านเกิดของโมสาร์ทในออสเตรีย อาร์เอสโอคือ 1 ใน 2 วงออเคสตราที่ได้รับเกียรติให้แสดงเป็นประจำ”
“ในคอนเสิร์ตที่จะจัดขึ้นในวันที่ 9 และ 10 กุมภาพันธ์นี้ คอนดักเตอร์ที่มาอำนวยเพลงคือ คอร์นีเลียส ไมยส์เตอร์ (Cornelius Meister) ซึ่งมีชื่อเสียงอย่างมากในแวดวงดนตรีคลาสสิก ส่วนนักเปียโนที่จะมาบรรเลงเดี่ยวร่วมกับวงออเคสตราคือ มาเรีย ราดูทู (Maria Radutu) นักเปียโนชาวออสเตรียน-โรมาเนียน เจ้าของรางวัลมากมาย”
“เราเป็นอาณาจักรยิ่งใหญ่ที่สร้างคีตกวีชื่อก้องโลก ทั้งไฮเดิน (Franz Joseph Haydn) เบโธเฟ่น (Ludwig van Beethoven) โมสาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart) จุดเด่นเหล่านี้ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น กระทั่งปัจจุบัน” เอกอัครราชทูตออสเตรียประจำประเทศไทยกล่าวอย่างภูมิใจ
ครั้งแรกในไทย กับเพลงระดับมาสเตอร์พีซ
คอนเสิร์ตจัดขึ้น 2 รอบคือวันที่ 9 และ 10 กุมภาพันธ์ ทั้ง 2 รอบอำนวยเพลงโดยคอร์นีเลียส ไมยส์เตอร์ หัวหน้าวาทยกรและผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของวงอาร์เอสโอ
การแสดงรอบแรก วันที่ 9 กุมภาพันธ์ มี 3 เพลง
Le nozze di Figaro, K.492 ผลงานของโมสาร์ท คีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ชาวออสเตรีย
Piano Concerto No.23 in A major, K.488 ผลงานของโมสาร์ท บรรเลงเดี่ยวโดย มาเรีย ราดูทู เจ้าของรางวัลรวมกว่า 20 รางวัล การันตีความสามารถด้วยการเป็นแขกรับเชิญให้กับเทศกาลสำคัญต่างๆ แทบทุกมุมโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งในศิลปินที่ร่วมแสดงในงานเฉลิมฉลองปีแห่งโมสาร์ทที่กรุงเวียนนา และ คาร์เนกี้ ฮอลล์ มหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
Symphony No.1 ผลงานของบราห์มส์ (Johannes Brahms) คีตกวีชาวเยอรมัน ที่ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตในกรุงเวียนนา
การแสดงรอบที่สอง วันที่ 10 กุมภาพันธ์ มี 3 เพลงเช่นกัน
Leonora Overture No.3, Op.72b ผลงานของเบโธเฟ่นคีตกวีชาวเยอรมัน
Cello Concerto No.1 in a minor Op.33 ประพันธ์โดยแซงต์-ซองส์ คีตกวีชาวฝรั่งเศส บรรเลงเดี่ยวร่วมกับวงออเคสตรา โดย ตปาลิน เจริญสุข นักเชลโลชาวไทยมากความสามารถ อาจารย์สาขาวิชาเครื่องสายสากลและดนตรีแชมเบอร์ (เชลโล) วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ม.มหิดล
ตปาลิน เป็นเจ้าของรางวัลชนะเลิศด้านเชลโลทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติหลายเวที อาทิ รางวัลเยาวชนดนตรีแห่งประเทศไทย พ.ศ.2550 และรางวัล International Youth Chamber Music Competition หรือ ITCC ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งยังได้รับเกียรติเป็นแขกรับเชิญร่วมแสดงกับวงออเคสตราระดับโลกมากมาย ทั้งวงดุริยางค์ฟีลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทย, วง Orchestra Symphony Philharmonic Sudecka ประเทศโปแลนด์, วง Tubingen Kammerorchestra ประเทศเยอรมนี, คอนเสิร์ต The last night of the year in C Major โดย Joseph Haydn ร่วมกับวง Orchestra der Niederschlesischen Philharmonie
ภายใต้การอำนวยเพลงของ Maestro Dariusz Mikulski เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ.2558 ที่เมือง Jelenia Gora ประเทศโปแลนด์ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2558 ณ กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และในเดือนตุลาคม พ.ศ.2560 ได้รับเกียรติเป็นโซโลอิสต์กับวง Vienna Chamber Orchestra ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
และเพลงที่ 3 Symphony No.5 in C Minor, Op. 67 ผลงานสุดยิ่งใหญ่ของเบโธเฟ่น
เรื่องน่ารู้ของ ‘แซงต์-ซองส์’
นักประพันธ์อัจฉริยะจากปารีส เขาเกิดในกรุงปารีสเมื่อปีค.ศ.1835 หรือ 181 ปีมาแล้ว ชาร์ลส์ กามีล์ แซงต์-ซองส์ ถูกเลี้ยงดูโดยแม่และป้า เนื่องจากพ่อของเขาเสียชีวิตตั้งแต่เขายังแบเบาะ ซึ่งป้าของเขานี่เองที่ทำให้เขาได้รู้จักเปียโน พร้อมสอนบทเรียนแรกให้ เขาเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง เพราะเล่นได้สมบูรณ์แบบตั้งแต่อายุเพียง 2 ขวบ หลังจากนั้นเมื่ออายุ 5 ขวบก็จัดแสดงคอนเสิร์ตเปียโนพร้อมกับงานไวโอลินโซนาต้าของเบโธเฟ่น
ได้รับการยกย่องจากลิซท์ แซงต์-ซองส์ในวัยเยาว์ เรียนออร์แกนและการประพันธ์ที่โรงเรียนสอนดนตรีแห่งปารีส เขาแทบจะกวาดรางวัลชนะเลิศจากทุกการประกวด กระทั่งถูกแนะนำให้รู้จักกับ ฟรานซ์ ลิซท์ คีตกวีและนักเปียโนชาวฮังกาเรียน ที่ภายหลังกลายเป็นเพื่อนสนิทอีกคนและผู้สนับสนุนคนสำคัญ ลิซท์บอกว่าแซงต์-ซองส์เป็น “นักออร์แกนที่ยิ่งใหญ่ของโลก”
ความคิดยอดเยี่ยม อัจฉริยภาพของเขาไม่ได้จำกัดแค่ด้านงานเพลงเท่านั้น แซงต์-ซองส์ยังมีความสนใจและรู้ลึกหลายเรื่อง อาทิ ธรณีวิทยา, พฤกษศาสตร์, ผีเสื้อ และคณิตศาสตร์ เขาสนุกกับการพูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์เอกของยุโรปในยุคนั้น ทั้งยังเขียนบทความวิชาการเกี่ยวกับโสตศาสตร์มากมาย นอกจากนี้เขายังชอบเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ที่โปรดปรานที่สุดคือแอลจีเรียและอียิปต์
ค.ศ.1886 ปีแห่งผลงานเลื่องชื่อ ขณะที่แซงต์-ซองส์อายุ 51 ปี เขาได้สร้างสรรค์ผลงานที่มีชื่อเสียงถึง 2 ชิ้น 1 คือ The Carnival of the Animals และ 2 คือ Symphony No.3 “Organ” ซึ่งอุทิศให้กับลิซท์ที่เสียชีวิต 1 ปีหลังจากนั้น ผลงานซิมโฟนีหมายเลข 3 นั้นถูกนำไปเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Babe เบ๊บ หมูน้อยหัวใจเทวดา และ Babe: Pig in the City 2 หมูน้อยหัวใจเทวดา ภาค 2
เวียนนา เรดิโอ ซิมโฟนี
ออเคสตราในไทย ‘ไม่ใช่เรื่องง่าย’
รศ.สุกรี เจริญสุข คณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ม.มหิดล แสดงความขอบคุณ มร.เอ็นโน่ โดรฟินิก ที่เปิดบ้านและสนับสนุนคอนเสิร์ตครั้งนี้ “‘เวียนนาคือเมืองหลวงแห่งดนตรีคลาสสิก’ การนำวงเวียนนา เรดิโอ ซิมโฟนี ออเคสตรา มาแสดงในเมืองไทยจึงไม่ใช่เรื่องง่าย”
“กว่าเราจะมีหอแสดงดนตรีที่ดีที่สุดในประเทศไทยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้ ‘หอประชุมมหิดลสิทธิคาร’ ถือว่าดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีระบบอะคูสติกที่ดีมาก ไม่ว่านั่งตรงไหนจะได้อรรถรสในการฟังไม่ต่างกัน”
“ค่าใช้จ่ายสูง ต้องใช้งบก้อนโตในการนำวงออเคสตราที่มีชื่อเสียงระดับโลก ประกอบด้วยนักดนตรีและทีมงานกว่าร้อยชีวิต ก็ยากเหมือนกัน แต่เราก็ก้าวข้ามมาได้” รศ.สุกรีอธิบายอุปสรรคที่ก้าวข้ามมาได้
สิ่งที่ผู้ฟังจะได้นั้น รศ.สุกรีบอกว่า คือการได้ชมคอนเสิร์ตของวงระดับโลกโดยไม่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้หาตั๋วไม่ง่ายแล้ว
“อยากให้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า ‘ความศิวิไลซ์’ ที่มีในยุโรปหรือที่ต่างๆ สังคมที่ศิวิไลซ์ต้องมีดนตรี ซึ่งดนตรีก็เป็นตัวสะท้อนระดับสติปัญญาของผู้คน”
ทำความรู้จัก ‘แซงต์-ซองส์’
โดย ตปาลิน เจริญสุขในงานแถลงข่าว ตปาลิน เจริญสุข ได้บรรเลงเดี่ยวเชลโลร่วมกับวงสตริงควอเต็ตจากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ เพลงแรกคือ The Swan ในชุด The Carnival of the Animals เพลงที่สองคือ Allegro appassionato, Op.43 ทั้งสองเพลงเป็นผลงานประพันธ์ของแซงต์-ซองส์
ตปาลินบอกว่า ชอบแซงต์-ซองส์เพราะเป็นนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงในยุคโรแมนติก นอกจากชอบสไตล์เพลงแล้ว เหตุผลที่เลือกงานของเขามาเล่น เพื่อให้ผู้ฟังรู้อารมณ์เพลงว่าเป็นอย่างไร เป็นน้ำจิ้มก่อนคอนเสิร์ตจริง
สำหรับคอนเสิร์ตครั้งนี้ ตปาลินบอกว่า รู้สึกเป็นเกียรติมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้บรรเลงร่วมกับวงดนตรีระดับโลก เหมือนความฝันวัยเด็กที่ไม่เคยคาดหวังให้เป็นจริงได้เป็นความจริงขึ้นมา
เช้ามืดวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ตปาลินเดินทางไปซ้อมร่วมกับวงอาร์เอสโอ ณ กรุงเวียนนา ก่อนเดินทางมาไทยพร้อมกันในวันที่ 7 เพื่อให้คอนเสิร์ตในวันที่ 9 และ 10 สมบูรณ์แบบที่สุด
“เลือกเพลง Cello Concerto No.1 in A minor Op.33 เพราะเป็นเพลงสำหรับเชลโลที่มีชื่อเสียงในยุคโรแมนติก เพลงแบบนี้มีไม่เยอะ ทั้งยังยาก จึงต้องซ้อมทุกวัน” อาจารย์สาวกล่าวอย่างตื่นเต้น ก่อนเล่าย้อนว่า เคยเล่นคอนแชร์โตบทนี้ร่วมกับวงดุริยางฟีลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทย ครั้งนั้นต้องเตรียมตัวซ้อมนานถึง 6 เดือนเพราะไม่เคยเล่นเพลงนี้มาก่อน แม้ครั้งนี้เป็นการเล่นร่วมกับวงออเคสตราอีกครั้ง แต่ต้องทบทวน ขัดเกลาให้ดีกว่าเดิม ซึ่งไม่ได้ยากลดลงเลย
“อยากให้คนไทยมาชม เพราะเป็นวงระดับโลก” ตปาลินทิ้งท้าย
สะท้อนเหตุผลที่คนไทยไม่ควรพลาดคอนเสิร์ตครั้งนี้