ที่มา | คอลัมน์ สยามประเทศไทย มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
“soft culture” วีรพงษ์ รามางกูร แปลว่า วัฒนธรรมอ่อนละมุน แล้วเขียนอธิบายใน มติชนรายวัน (ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม 2559 หน้า 16) จะขอคัดสรุป ดังนี้
สังคมวัฒนธรรมอ่อนละมุน คือสังคมยืดหยุ่น ไม่ยึดมั่นในหลักการ ยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ ยืดหยุ่นไปตามกระแส ไม่ว่าจะเป็นกระแสของโลกหรือกระแสที่เกิดขึ้นภายในประเทศ
บางทีก็ไม่ยึดมั่นในตรรกะและเหตุผล แต่เป็นไปตามอารมณ์ชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อกระแสเช่นว่านั้นยุติลงความคิดความอ่านก็สิ้นสุดลงด้วย เป็นสังคมที่ไม่ยึดมั่นในคุณค่าสังคมอันใดอันหนึ่งอย่างมั่นคงแข็งแรง แต่จะอ่อนไหวไปตามสถานการณ์
สังคมวัฒนธรรมแข็ง ดร. โกร่ง วีรพงษ์ บอกว่าเป็นสังคมยึดมั่นในหลักการและเหตุผล เรียนรู้ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ยึดมั่นอย่างมั่นคงในคุณค่าสังคมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ยากที่จะเปลี่ยนแปลง จะเปลี่ยนแปลงได้ก็ต้องใช้เวลานาน หรือมีเหตุการณ์ที่มาบีบบังคับอย่างรุนแรง เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลี, จีน, ยุโรปตะวันตก, อิสราเอล รวมทั้งชาติอาหรับ เป็นต้น
สังคมไทย ดร. โกร่ง วีรพงษ์ ย้ำว่า “ลู่ไปตามลม แล้วแต่ลมหรือพายุจะพัดไปทางไหน เป็น ‘สังคมที่รักษาตัวรอดเป็นยอดดี’ เป็นสังคมแบบ ‘ศรีธนญชัย’ เป็นสังคมเล่นลิ้น retheric ความเก่งของคนไม่ได้อยู่ที่ผลงาน แต่อยู่ที่การพูดประจบประแจงและถูกใจผู้มีอำนาจ ‘ความถูกใจ’ สำคัญกว่า ‘ความถูกต้อง’ ”
ทำไมเป็นอย่างนั้น? อาจารย์โกร่งไม่ได้บอก
แต่เคยมีครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่อธิบายว่าไม่ได้เป็นมาแต่ดั้งเดิม หากมีเหตุจากวัฒนธรรมไทยถูกสถาปนาโดยคนชั้นสูงในศตวรรษก่อน แล้วกล่อมเกลาครอบงำบังคับขู่เข็ญให้คนไทยหัวอ่อน ว่านอนสอนง่าย เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด “เป็นผู้น้อยคอยก้มประนมกร ลำบากก่อนจะสบายเมื่อปลายมือ” (แต่ไม่เคยสบายอีกเลย) ฯลฯ สืบจนปัจจุบัน ทำให้นักวิชาการนานาชาติพากันเรียกไทย soft culture
ระบบการศึกษาไทยเลยยอมจำนนอยู่แค่นี้ ไม่ยอมเป็นวัฒนธรรมแข็ง