“วีรนต บุรณศิริ” 3 ปี กับเส้นทางศิลปิน “ศิลปะเติมเต็มชีวิตผม”

ผู้คนหลากสัญชาติผลัดเวียนสับเปลี่ยนกันเข้ามาชมนิทรรศการศิลปะ “โฟรเซ่น” (Frozen) ภาพวาดสีอะคริลิค 17 ชิ้น ที่ถูกจัดแสดงที่ชั้น G ห้อง เดอะ แกลเลอรี่ ห้างสรรพสินค้าเกษรพลาซ่า

ผลงานทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านแนวคิด “แอ็บสแตรค เอ็กซ์เพรสชันนิสม์” (Abstract Expressionism) หรือ ลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แนวนามธรรม ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Frozen” ที่เสมือนเป็นการแช่แข็งอารมณ์ความรู้สึกของผู้วาดเอาไว้ในช่วงเวลานั้นเอาไว้

และทุกห้วงอารมณ์ ทุกความรู้สึก-ความทรงจำ ที่ถูก “แช่แข็ง” ในรูปภาพ ล้วนเป็นของ “วีรนต บุรณศิริ” อดีตนายธนาคารผู้ผันตัวเองมาเป็นศิลปินเมื่อ 3 ปีก่อน หลังจากที่อยู่ในแวดวงการเงินมากว่า 20 ปี

วีรนต จบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนสาธิตจุฬา ก่อนที่จะเดินทางไปศึกษาต่อที่ระดับมัธยมปลายในโรงเรียนประจำที่ประเทศอังกฤษ

Advertisement

“ผมก็เป็นเหมือนเด็กทั่วๆไป แต่ค่อนข้างจะบ้านิดหนึ่ง” วีรนตเล่าพร้อมรอยยิ้มและท่าทีเป็นกันเอง “คือผมชอบไปกระโดดน้ำตามหน้าผาสูงๆ”

ที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะตัวเขาเอง “รัก” กีฬาทางน้ำ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นว่ายน้ำ สกี หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับน้ำเขาจะชื่นชอบทั้งหมด

รวมไปถึงการวาดภาพที่มีความสนใจตั้งแต่วัยเยาว์เช่นกัน

Advertisement

ใช้ชีวิตเรื่อยมาจนถึง “ทางแยก” ของชีวิต วีรนตต้องการที่จะศึกษาต่อด้านศิลปะตามความต้องการของตนเอง ในขณะที่ความต้องการของครอบครัวคือต้องการให้เขาเรียนต่อด้านวิศวกรรมศาสตร์

แต่ที่สุดแล้วเขาก็ตัดสินใจที่แบกรับความความหวังของบุพการีจบการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ ที่ มหาวิทยาลัย ยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอน หรือ ยูซีแอล ศึกษาเพิ่มเติมในด้านรัฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัย ฮัลล์ และรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัยทัฟส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังได้คุณวุฒิทางด้านวิชาชีพการเงินและการลงทุนระดับสากล หรือ ซีเอฟเอ อีกด้วย

อยู่ในแวดวงการเงินมายาวนานถึง 20 ปี แต่ถึงอย่างไรนอกเหนือไปจากการ “ถ่ายรูป” หนึ่งในสิ่งที่เขาชื่นชอบ จนสามารถคว้ารางวัล Silver award and honourable จาก International Photography Awards หรือ IPA ทว่าการ “วาดภาพ” ด้วยมือของตนเองก็ยังคงดูห่างไกลจากชีวิตของเขามากนัก

จนกระทั่ง 3 ปีที่แล้ว…

“อะไร คือ ‘จุดเปลี่ยน’ ของชีวิต?”

วีรนต นิ่งคิดครู่หนึ่งหลังจากฟังคำถาม และนั่นเป็นสิ่งที่เขาตลอดเวลาพูดคุย คือ หยุดนิ่ง คิดและใคร่ครวญ หลังจากที่กลั่นทุกความคิดออกมาแล้วจึงค่อยเอ่ยปากตอบ สั้น กระชับ และตรงไปตรงมา

“คือตอนนั้นมันมีจุดเปลี่ยน มีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตการแต่งงานกว่า 15 ปี เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจออกจากงานที่ทำมา 20 ปี แล้วมาทำในสิ่งที่เราอยากทำมาตลอดทั้งชีวิต”

“มันเหมือนถึงเวลาแล้วที่เราจะทำอะไรที่เรามีแพสซั่น ผมชอบและอยากที่วาดรูปนานแล้ว แต่ตลอด 15 ปี ต้องใช้เวลาในการเลี้ยงลูกทั้งสามคน ต้องใช้เวลาในการทำงานที่ธนาคารซึ่งทำงานตลอดทั้งวัน”

“คืออยากที่วาดมาตลอด แต่ก็ไม่มีเวลามากพอที่จะทำมัน”

และจากการตัดสินใจชนิดที่หลายคนไม่คาดฝันเมื่อสามปีก่อน ละทิ้งหนทางที่เขาเดินมาตลอดค่อนชีวิต ก่อนที่จะถากถางสร้างทางเส้นใหม่

ที่สุดแล้วมันได้นำเขามาสู่ “การวาดรูป”
สิ่งที่เขา “ปรารถนา” ที่จะทำมาตลอดทั้งชีวิต

 

วินาทีที่ตัดสินใจลาออกจากงานมาเป็นศิลปิน

รู้สึกเหมือนกับปลดปล่อยนะ เพราะเหมือนเรารู้ตัวแล้วว่าทั้งชีวิตของเราเป็นชีวิตที่เราต้องการที่จะทำสิ่งนี้ ผมเองก็มีความอัดอั้นมานาน มีความสะสม ความต้องการที่ทำงานด้านศิลปะมันสะสมมามากกว่า 20 ปี พอได้เริ่มวาดมันก็เหมือนกับเขื่อนแตกเลย คือ วาดไปได้เรื่อยๆ วาดแบบไม่คิดอยากจะพัก ด้วยตัวผมเองเป็นคนค่อนข้างเอ๊กซ์ตรีมกับการทำกิจกรรม หรือ กีฬาต่างๆ การวาดรูปของผมก็เลยเอ๊กซ์ตรีมไปด้วย

ที่สุดแล้วมันเป็นอะไรที่เราทำแล้วรู้สึกว่าสบายใจ เวลาที่เราทำงานมันก็เป็นการทำงาน แต่การวาดรูปมันรู้สึกว่ามันเติมเต็มชีวิตของผม มันได้มาเติมเต็มสิ่งที่เราต้องการมาโดยตลอด

จากคำว่า “เขื่อนแตก” ที่ว่า เคยใช้เวลาวาดรูปติดต่อกันนานสุดเท่าไร?

3 วัน (ก่อนที่จะย้ำอีกครั้งว่า 3 วัน) การวาดรูปในแบบนี้คือมันไม่เสร็จไม่ได้ ถ้าเกิดเราพักแล้วกลับมาวาดมันก็ไม่ใช่อารมณ์ที่เรารู้สึกเมื่อตอนนั้นอีกแล้ว แต่ผมเองก็พยายามไปนอนนะ มันมีหลายรูปที่ระหว่างที่วาดติดต่อกันหลายชั่วโมงแล้วรู้สึกว่าเหนื่อยมากเลย ก็เลยตัดสินใจไปนอน แต่นอนได้เพียงครึ่งชั่วโมง สุดท้ายมันก็ลุกขึ้นมาใหม่แล้วก็มาวาดต่อให้เสร็จ

หรือบางทีมันอยู่ในช่วงที่อารมณ์มันไหลลื่น ผมก็วาดต่อเนื่องสามภาพรวดเลย แต่หลังจากนั้นก็เดี้ยง (ยิ้ม) คือต้องพักไปเลยสี่ห้าวัน

ทำไมถึงตัดสินใจใช้สีอะครีลิค?

สีอะครีลิคเป็นสีที่ผมเคยใช้ตอนเด็กๆ อีกทั้งสีชนิดอื่นๆ มันไม่สามารถที่จะแสดงความรู้สึกของผมได้ทั้งหมด เลยตัดสินใจใช้สีอะครีลิคเพราะมันแสดงออกได้มากกว่า อีกทั้งมันเป็นสีที่แห้งเร็วและทันกับอารมณ์ของเรา เพราะผมเองก็ถือว่าเป็นคนใจร้อน โดยสรุปแลว้คือเป็นสีที่เหมาะกับรูปแบบงานที่เราชอบทำ

“ที่สุดแล้วมันเป็นอะไรที่เราทำแล้วรู้สึกว่าสบายใจ เวลาที่เราทำงานมันก็เป็นการทำงาน แต่การวาดรูปมันรู้สึกว่ามันเติมเต็มชีวิตของผม มันได้มาเติมเต็มสิ่งที่เราต้องการมาโดยตลอด”

คำว่า ศิลปะ ในมุมมองของ “วีรนต”

ผมคิดว่าแต่ละคนตีความคำว่าศิลปะแตกต่างกันออกไป มันเป็นคำที่ยากที่จะตีความ ศิลปะของแต่ละคนมันต่างกัน อีกทั้งศิลปะในแต่ละช่วงมันก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนตามกาลเวลาและยุคสมัย ดังนั้นสำหรับผมแล้วอะไรที่ใช้ความสามารถออกมาแสดงจะเป็นรูปแบบใดก็ตามนั้นก็สามารถเรียกได้ว่าศิลปะ มันไม่ได้ถูกจำกัดว่าต้องเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง

เคยมีคอมเมนต์จากศิลปินคนอื่นๆ บ้างหรือไม่

ส่วนใหญ่จะบอกว่าสีแรงนะ ใช้สีคนละขั้วอยู่ในที่เดียวกัน ซึ่งไม่ค่อยเห็นมากนัก บางคนก็บอกเราว่าอย่าไปเรียนหรือศึกษาอะไรเพิ่ม เพราะนี่คือตัวของเรา เพราะฉะนั้นถ้าเราไปเรียนมากกว่านี้มันอาจจะลบตัวตนของเราออกไป

คือความจริงก็อยากไปศึกษาเพิ่มเติม อาจจะเป็นคอร์สสั้นๆ (ยิ้ม)

ช่วยพูดถึงงาน Frozen ที่จัดแสดงอยู่

โฟรเซ่น มันเป็นเหมือนเป็นสมุดบันทึกความรู้สึก เป็นเหมือนเป็นการจดบันทึกไว้ว่า ณ เวลานี้ ณ ตอนนี้ ฉันมีความรู้สึกแบบนี้ อารมณ์แบบนี้ ดังนั้นแต่ละรูปจะวาดซ้ำไม่ได้ แต่ละรูปทุกอย่างจะเป็นอารมณ์ ณ เวลานั้นหมดเลย คือความทรงจำที่เราฟรีซหรือแช่แข็งมันเอาไว้ เพื่อที่จะเข้าใจในตัวเองได้ในเวลาต่อมา ความรู้สึกที่บันทึกเอาไว้ มีทั้งความสุข แฮปปี้ หรือ อารมณ์บีบคั้น คือ มันมีอารมณ์ทุกอย่าง

ที่ต้องแสดงออกในรูปแบบแอ็บสแตรค เอ็กซ์เพรสชันนิสม์ เป็นเพราะผมเป็นคนใจร้อน (ยิ้ม) และต้องการให้รูปมันแสดงออกถึงอารมณ์ของเรา ดังนั้นผมจึงไม่เหมาะที่จะไปทะเล และไปนั่งวาดภาพแนวอิมเพรสชั่นนิสม์

ทำไมถึงอยากจะหยุดมันเอาไว้

การหยุดนิ่ง มันเกิดขึ้นจากทั้งชีวิตที่ผ่านมามันคือการวิ่งมาโดยตลอด วิ่งมามากแล้ว การทำงานที่ผ่านมาก็คือการวิ่ง แต่การวาดรูปเหล่านี้มันคือการหยุด หยุดคิดว่า เฮ้ย! ตอนนี้เรารู้สึกอย่างไรแล้วก็อธิบาย ระบายมันออกมาเป็นรูป แสดงมันออกมา คือผมต้องการที่จะเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตนเองแล้วให้มันตกผลึก ซึ่งในอนาคตหากมันตกผลึกแล้วงานที่ออกมาอาจจะไม่ใช่งานเห็นในทุกวันนี้ แต่ตอนนี้มันยังไปไม่ถึงขนาดนั้น (ยิ้ม)

คาดหวังอะไรกับปฏิกริยาของคนที่เข้ามาดูงานของเราบ้าง

ผมต้องการให้เขางุนงง พิศวง เกิดความสงสัย คือหมายความว่าเวลาเข้ามาดูก็อยากให้เกิดความรู้สึก เพราะภาพทุกภาพคืออารมณ์ที่เราแสดงออกไป เวลาที่เราถ่ายทอดออกไปเราก็อยากให้มันดึดดูดให้ฉุกคิดว่านี่คืออารมณ์แบบไหน แฃะให้เขาคิดว่าตัวเขาเองก็สามารถที่จะระบายมันออกมาได้เหมือนกัน คือผมเชื่อว่าทุกคนมีศิลปะของตนเองอยู่แล้ว มีตัวตนของตนเองอยู่แล้ว ลองดูเข้าไปในใจว่าจะระบายออกมาอย่างไรก็ทำออกมาอย่างนั้น คือผมเชื่อว่าทุกคนมีัศิลปะของตนเอง เพียงแต่ว่าเขาจะคว้ามันออกมาใช้หรือไม่เท่านั้นเอง

วีรนต (2)

สามปีที่ผ่านมาศึกษาความรู้ในการวาดอย่างไร

วาดเลย คือผมพอมีพื้นฐานในสมัยเด็กมาบ้าง แหล่งข้อมูลที่ศึกษาก็มีเปิดหนังสือดูบ้าง หรือมีเพื่อนที่เป็นศิลปิน หรือครูบาอาจารย์ด้านศิลปะมาแนะนำผมก็ฟัง ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้ได้ เพียงแต่ว่าเขาอาจจะชอบหรือเปล่านั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เขาอาจจะชอบเป็นวิศวะ ทางการเงินมากกว่าก็ได้ สุดท้ายแล้วมันก็อยู่ที่ความชอบ ใช้ชีวิตในสิ่งที่เรามีแพสชั่นแล้วมันจะต่างจากอย่างอื่น เราจะรู้สึกได้เมื่อได้ทำสิ่งนั้น

การหาสิ่งที่เรามีแพสชั่นได้จะต้องทำอย่างไรเราถึงจะรู้สึกมันได้

ผมว่าเมื่อถึงเวลาเราจะรู้สึกมันเอง บางคนต้องทำงานหาเงินเลี้ยงลูก แต่ที่สุดแพสชั่นของเขาจริงๆ อาจจะเป็นการเลี้ยงลูกก็ได้ ถูกมั๊ย คือแพสชั่นในการทำอะไรสักอย่างไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นศิลปะเพียงอย่างเดียว หรือต้องออกไปทำนู่นนี่ แต่สำหรับบางคนอย่างที่บอกคือแพสชั่นของเขาอาจจะเป็นการเลี้ยงลูก ซึ่งก็ต้องรอเวลาจนถึงวันที่เขามีลูกเขาจึงจะรู้ถึงตัวเอง รู้สึกได้เองว่าการเลี้ยงลูกมันเป็นความสุขที่สุด เป็นแพสชั่นที่สุดของเขา

 กิจกรรมอื่นๆ ที่ชื่นชอบในช่วงเวลาว่าง

ผมเองก็ชอบที่ไปวิ่งและไปเล่นเวคบอร์ด นอกจากนั้นก็ชอบเล่นหมากรุก เพราะเมื่อก่อนตอนเรียนโรงเรียนประจำที่เมืองนอกก็เคยได้ถ้วยรางวัลตอนเด็กๆ คือหมากรุกเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ผมสนใจ เพราะมันดึงดูดในเราต้องมีสมาธิอยู่กับมัน รวมไปถึงการวิ่งที่ผมเองก็ชอบเพราะเหมือนว่ามันเป็นการปลดปล่อย เป็นการท้าท้ายตัวเองให้ไปถึงเป้าหมายที่เราต้องการให้ได้5I0A8958

เคยคิดหรือไม่ว่าตัวเองหลงเสน่ห์อะไรที่เป็น “น้ำ”

เป็นไปได้นะ (ยิ้ม) ผมเองก็ชื่นชอบเล่นกีฬาทางน้ำแทบทุกอย่าง สุดท้ายก็มาวาดรูป หนีไม่พ้นอะไรที่เกี่ยวกับน้ำ คือ ผมชอบน้ำจริงๆ ชอบมากๆ เวลาไปเที่ยวทะเลบางทีก็ออกไปว่ายน้ำตอนเที่ยงคืน ว่ายออกไปไกลเลย หรืออย่างตอนเด็กๆ ที่ตอนนั้นก็มากเกินไปนิดนึง (ยิ้ม) ตอนนั้นเราไปที่กรีซ ทุกคนก็กำลังนั่งดูหน้าผา ผมก็คิดว่าทำไมเอาแต่นั่งดู แล้วก็ตัดสินใจวิ่งกระโดดลงไปเลย แต่ลงไปนี่เจอหอยเม่นเต็มไปหมดเลย (หัวเราะ)

ผมมีความสุขที่อยู่ในน้ำ คือ ผมชอบความรู้สึกที่ลอยอยู่ในน้ำแล้วไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างล่างบ้าง

เป้าหมายต่อไปในอนาคต

คิดว่าจะแสดงงานปีละหน และถ้ามีโอกาสอนาคตประมาน 5-10 ปีข้างหน้า ถ้าความรู้ของเราสามารถที่จะให้คนอื่นได้ก็อยากที่จะเป็นครูไปสอน ก็เป็นอะไรที่น่าภูมิใจที่จะได้ถ่ายทอดความรู้ที่เรามีให้กับคนอื่น จะไปสอนด้านการเงิน ด้านศิลปะก็ได้ทั้งหมด คือต้องรอจนถึงเวลา ซึ่งตัวผมเองก็อยากที่จะออกไปถ่ายทอดสิ่งที่มีอยู่

ส่วนหนึ่งของนิทรรศการ Frozen ที่จะจัดแสดงถึงวันที่ 31 สิงหาคม ที่บริเวณชั้น G ห้างสรรพสินค้าเกษรพลาซา

5I0A9113

555

59

1

444

 

2

 

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image