ฉลู ตรีศก 2564 ปีใหม่ ไม่เคยเหมือนเดิม

1 มกราคม พุทธศักราช 2564

วันแรกของปีใหม่ ตามแบบสากล

ตรงกับคริสต์ศักราช 2021 ตามแบบตะวันตก

ตรงกับจุลศักราช 1383 ตามแบบโบราณ

Advertisement

ตรงกับปีฉลู ใน 12 นักษัตรซึ่งชิงเข้าสู่นักษัตรใหม่ไปแล้วตั้งแต่เดือนอ้าย หลังลอยกระทงปลายปี 2562 มีสัญลักษณ์ คือ วัว หนึ่งในสัตว์ที่มีบทบาทในตำนานฝั่งตะวันออก ทั้งพุทธและพราหมณ์

ตรงกับปี ‘หนไท’ ตามปฏิทินเดิมที่เคยใช้ในวัฒนธรรมล้านนาและหลากพื้นที่ในดินแดนที่มีผู้คนพูดภาษาตระกูลไท ว่าปี ‘เป้า’

Advertisement

พระธาตุลำปางหลวง จังหวัดลำปาง คือพระธาตุประจำปีฉลู

ย้อนไปก่อนถึงวันนี้ ปีนี้ และนาทีนี้

การตีพิมพ์คำว่าปีใหม่ในปฏิทินวันที่ 1 มกราคม เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 80 ปีที่ผ่านมา กล่าวคือ

แต่เดิมนั้นปีใหม่เดิมของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ ‘อุษาคเนย์’ คือเดือนเมษายน

โดยมีการกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา แต่ไม่ได้รับรู้แพร่หลาย

ต่อมาในช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีการประกาศให้มีงานรื่นเริงในวันขึ้นปีใหม่เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2477 ที่กรุงเทพฯเป็นครั้งแรก และกระจายไปในต่างจังหวัด

หลังจากนั้นได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลยุค จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้แต่งตั้งคณะกรรมการซึ่งมี หลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธาน มติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2484 เป็นต้นมา

เรียกได้ว่า ประชาธิปไตยไทยมาก่อนปีใหม่ 1 มกราคมเป็นเวลา 9 ปี

ปีใหม่ในสยาม จนถึงประเทศไทย ไม่ได้เหมือนเดิมตลอดมา หากแต่มีพัฒนาการต่อเนื่องในหลากยุคสมัยด้วยเหตุและผลน่าสนใจในบริบททางสังคม วัฒนธรรม และการเมืองที่ไม่อาจแยกจากกัน

‘วันอย่างใหม่’ ถึง ‘ประดิทิน’ ที่มีแค่ 9 เดือน

เข็มนาฬิกาของคนรุ่นก่อน ในเรื่องคติปีใหม่เดิมของคนไทย ไม่มีสำนึกเรื่องปีใหม่แบบสากล แต่รู้จักการเปลี่ยนปีนักษัตร ตอนขึ้นเดือนอ้าย หลังลอยกระทงเดือน 12 ซึ่งตรงกับปฏิทินสากลราวเดือนพฤศจิกายน รับรู้เรื่องการเปลี่ยนผันจากฤดูกาลต่างๆ ไปสู่อีกฤดู

ในรัชกาลพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ถึงห้วงเวลาในรัชกาลที่ 8

1 เมษายน คือปีใหม่ นับแต่ พ.ศ.2432- 1 เมษายน 2483

รัชกาลที่ 5 ทรงเปลี่ยนปีจากการใช้ จุลศักราช เป็น รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2432 คือเป็น ร.ศ.108

รัตนโกสินทร์ศก วันแรกปีแรกคือวันที่ 1 เมษายน ร.ศ.108 (พ.ศ.2432) หรือเพียง 3 วันหลังการ ‘ประกาศให้ใช้วันอย่างใหม่’ และอย่างสอดรับกับวันเปลี่ยนปีศักราชแบบเดิม เพราะวันนั้นก็เป็นวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ด้วยเช่นกัน

นับแต่นั้นมา ก็โปรดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันเปลี่ยนปีศักราชของรัตนโกสินทร์ศก ทุกๆ ปี

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ยกเลิกการใช้ รัตนโกสินทร์ศก สร้างศักราชใหม่เป็น พุทธศักราช โดยกำหนดให้ปี พ.ศ.2456 เป็นปีแรก โดยยังคงใช้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันเปลี่ยนปีศักราชเช่นเดิม

‘ประกาศวิธีการนับวัน เดือน ปี’ มีในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทร์ศก 131 เท่ากับพุทธศักราช 2455 อีกเดือนกว่า ต่อมาไทยก็เริ่มเข้าสู่การใช้พุทธศักราชวันแรกเมื่อวันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2456

เท่ากับว่า รัตนโกสินทร์ศก มีอายุระหว่างปี 2432-2455 เพียง 24 ปีเท่านั้น คือ ร.ศ.108-ร.ศ.131

กระทั่งหลังอภิวัฒน์สยาม ยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ปีใหม่แบบสากลครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2484 มาถึงทุกวันนี้ ปรากฏหลักฐานในราชกิจจานุเบกษา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล มีพระบรมราชโองการให้ตรา “พระราชบัญญัติปี ประดิทินพุทธศักราช 2483”
ดังนั้น ใน พ.ศ.2483 จึงไม่ได้มี 12 เดือน แต่มีเพียง 9 เดือนเท่านั้น คือ เดือนเมษายนถึงเดือนธันวาคม เพราะ 1 มกราคม พ.ศ.2484 นับเป็นวันขึ้นปีใหม่

คนไทย ‘ปฏิทินฝรั่ง’ ยามดีปีชงจีน

แม้ปีใหม่แบบสากล จะเพิ่งเกิดเมื่อราว 80 ปีที่ผ่านมา ทว่า ‘ปฏิทินฝรั่ง’ มีการตีพิมพ์ในสยามตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 แต่เป็นแบบฝรั่งพิมพ์ ฝรั่งใช้เอง จนถึงสมัยรัชกาลที่ 4 จึงมีการพิมพ์ปฏิทินฝรั่งให้เป็นภาษาไทย

จากเดิมที่ใช้เดือนอ้าย เดือนยี่ เดือนสาม เดือนสี่ เดือนห้า ก็ปรับเป็นชื่อเดือนภาษาฝรั่ง อย่าง แจนยูอารี แฟบยูอารี มาร์ช กระทั่งพิมพ์ชื่อเดือน 12 เดือน ในภาษาไทยว่า มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม ฯลฯ

สำหรับปีแรกซึ่งรัชกาลที่ 5 ให้ใช้ รัตนโกสินทร์ศก 108 ก็ทรงให้ใช้เดือนเรียกแบบฝรั่งที่แปลงแล้ว สำหรับใช้เป็นปฏิทินของราชการด้วย นับแต่นั้นมาปฏิทินแบบฝรั่งก็เป็นที่คุ้นเคยสำหรับคนไทยมากขึ้นตามลำดับ

ประเทศไทยซึ่งหันมาใช้วันขึ้นปีใหม่ตามอย่างสากล ปฏิทินฝรั่งและปฏิทินไทยก็หลอมรวมกันได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ ยังเสริมเติมวัฒนธรรมจีนที่มีบทบาทในไทยให้ตอบโจทย์วิถีชีวิตมากยิ่งขึ้น ทั้งวันหยุด วันสำคัญ ฤกษ์งาม ยามดี ปีชง วันหยุดราชการ และอื่นๆ อีกมากมายจนกลายเป็นปฏิทินที่เราคุ้นตามาถึงทุกวันนี้

ส.ค.ส. บัตรอำนวยพร

บน ‘กระดาษฝรั่ง’ จากชนชั้นนำสู่ราษฎร

อีกหนึ่งองค์ประกอบปีใหม่ที่ยุคนี้ส่ง ‘ไลน์’ ถึงกันได้โดยไม่ต้องพึ่งบุรุษไปรษณีย์ นั่นคือ ส.ค.ส.

ที่ย่อมาจาก ส่งความสุข โดยย้อนไปเมื่อกว่าร้อยปีก่อน สยามรับวัฒนธรรมการส่งบัตรอำนวยพรปีใหม่มาจากตะวันตก ปรากฏหลักฐานจากการค้นพบของ ธวัชชัย ตั้งศิริวานิช ซึ่งเปิดเผยถึงการ์ดอวยพรปีใหม่ฉบับแรกของไทยเท่าที่พบในขณะนี้จากประเทศอังกฤษ โดยเป็น ส.ค.ส. ฉบับที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้แก่ กัปตันจอห์น บุช หรือ หลวงวิสูตรสาครดิษฐ ที่ดูแลกรมเจ้าท่าในขณะนั้น เมื่อ พ.ศ.2409 มีลักษณะเป็น ‘กระดาษฝรั่ง’ สีครีม พับครึ่ง เหมือนกระดาษเขียนจดหมาย กว้าง 18 เซนติเมตร ยาว 23 เซนติเมตร ความยาว 4 หน้า ซองกว้าง 8.1 เซนติเมตร ยาว 13.9 เซนติเมตร รัชกาลที่ 4 พระราชทานลายเซ็นพระนามลงบน ส.ค.ส. ฉบับดังกล่าวด้วย

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการทำ ส.ค.ส.มากขึ้น ทั้งแบบตีพิมพ์ และเขียนด้วยลายมือ โดยโปรดให้พระราชทานแด่ขุนนาง ภาพบน ส.ค.ส. เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ รวมถึงพระราชโอรส ครั้นสมัยรัชกาลที่ 6 ยิ่งมีมากขึ้น และได้รับความนิยมต่อมา

เถลิงศก ฉลองชัย

กับรำวงที่ ‘คนรุ่นใหม่’ ยังไม่ลืม

ปิดท้ายด้วยเรื่องราวของเพลงปีใหม่ ซึ่งแต่ละยุคสมัยก็มีเพลงปีใหม่เป็นของตัวเอง ตั้งแต่สุนทราภรณ์, สามโทน จนถึง เบิร์ด ธงไชย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพลงปีใหม่ในความทรงจำอันยาวนานแม้กระทั่งเจเนอเรชั่นใหม่ ผลงานสุนทราภรณ์ไม่เคยตาย โดยเฉพาะ เพลงฮิต ‘สวัสดีปีใหม่’ ที่ร้องว่า

“สวัสดีปีใหม่แล้ว ผองไทยจงแคล้วปวงภัย ช่วยกันรับขวัญปีใหม่ เถลิงฤทัยไว้มั่น สุขศรีปีใหม่หมาย สุขใจและกายรวมกัน สำราญสำเริงบรรเทิงมั่น สุขสันต์ยิ้มกันไว้ก่อน…”

คำร้องโดย ครูแก้ว อัจฉริยะกุล และทำนองโดย ครูเอื้อ สุนทรสนาน เวอร์ชั่นออริจินอล ร้องโดย เพ็ญศรี พุ่มชูศรี และชวลีย์ ช่วงวิทย์ ซึ่งบันทึกเสียงตั้งแต่ พ.ศ.2498 หลังจากนั้นยังมีการบันทึกเสียงใหม่ซ้ำอีก แต่ฉบับอมตะนี้ก็ยังได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย

ไหนจะเพลง “รื่นเริงเถลิงศก” ปลายปากกาของครูเพลงท่านเดียวกับเพลงสวัสดีปีใหม่ นั่นคือ ครูแก้วและครูเอื้อ

“วันนี้ วันดี ปีใหม่ ท้องฟ้า แจ่มใส พาใจ สุขสันต์ ยิ้มให้กัน ในวันปีใหม่ โกรธเคือง เรื่องใด จงอภัยให้กัน

หมดสิ้นกันที ปีเก่า เรื่องทุกข์ เรื่องเศร้า อย่าเขลา คิดมัน ตั้งต้นชีวิต กันใหม่ ให้มัน สดใส สุขใหม่ ทั่วกัน

รื่นเริง เถลิงศกใหม่ รื่นเริง เถลิงศกใหม่ ร่วมจิต ร่วมใจ ทำบุญร่วมกัน ทำบุญกันตามประเพณี กุศล ราศี บรรเจิด เฉิดฉัน

พี่น้อง ร่วมชาติ เดียวกัน พี่น้อง ร่วมชาติ เดียวกัน ขอให้ สุขสันต์ ทั่วกัน เอย”

ประเด็นน่าสนใจคือ คำว่า “เถลิงศก” ซึ่งจริงๆ แล้ว เดิมใช้กับการเข้าสู่ศักราชใหม่ในเดือนเมษายน คือ ช่วงสงกรานต์นั่นเอง นับเป็นอีกเพลงที่บันทึกประวัติศาสตร์แห่งการเถลิงศกไว้ในเนื้อร้องโดยไม่เจตนา

เพลงประจำเทศกาลปีใหม่ โดยสุนทราภรณ์ จัดเป็นเพลงที่มีคำร้องไพเราะ ครองใจคนไทยมานาน แม้จะมีวิธีการร้องแบบเก่า คือการบีบเสียงที่เป็นขนบนิยม และยังมีเพลงปีใหม่ในยุคใหม่ๆ ออกมา แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เพลงปีใหม่สไตล์สุนทราภรณ์ กลายเป็นเพลงอมตะในเทศกาลนี้ของคนไทยในทุกปี

นอกจากนี้ ยังมีเพลงปีใหม่สไตล์ ‘รำวง’ ซึ่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้การสนับสนุนในการเป็นหนึ่งในความบันเทิงเริงใจอย่างมีอารยะของสังคมไทยในอดีต ก็ยังติดหูมาถึงทุกวันนี้ ดังเช่นเพลง ‘รำวงปีใหม่’ ของ สมศักดิ์ เทพานนท์ ผู้แต่งคำร้อง และธนิต ผลประเสริฐ

มีเนื้อร้องท่อนหนึ่งว่า

“ไชโย ไชโย ไชโย ฉันร่วมไชโย ต้อนรับปีใหม่ ส่งปีเก่า แล้วเราเริงใจถึงวันปีใหม่ เราต้องไชโย…”

เพลงแนวรำวง ยังถูกคนรุ่นใหม่ เปิดลิ้นชักนำมาปัดฝุ่นใช้ในการจัดกิจกรรมทางการเมือง เมื่อต้องการรำลึกถึงจอมพล ป. พิบูลสงคราม และคณะราษฎร 2475 ตลอดปี 2563

สำหรับเพลงปีใหม่ยุคร่วมสมัย ในช่วง พ.ศ.2535 วง ‘สามโทน’ สร้างสรรค์เพลงปีใหม่ที่ยังถูกเปิดมาถึงปัจจุบัน โดยมีจังหวะสนุกสนาน

คำร้องสอดแทรกมุขตลก มองโลกในแง่ดี

อันเป็นบุคลิกของวง ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 3 คน ได้แก่ สุธีรัชย์ ชาญนุกูล (บุ๋มบิ๋ม) ธงชัย ประสงค์สันติ (ธง) และวิทยา เจตะภัย (ถนอม) ด้วยฝีมือการเรียบเรียงของ สุระชัย บุญแต่ง

“สวัสดี ดี ดี ดี สวัสดี ปีใหม่ สวัสดี ให้ดี สมใจ สวัสดี ให้ดี จริงจริง ปีที่ผ่าน ไปแล้ว มันคลาด มันแคล้ว ก็ดี ถมไป

มี ทั้งเจ็บ ทั้งไข้ ทั้งปวด ดวงใจ ก็ยัง ยืนอยู่…”

เป็นเพลงที่ใช้ภาษาเรียบง่าย สอดแทรกด้วยถ้อยคำที่เป็น “ภาษาถิ่น” อย่าง “แซ่บอีหลี” สไตล์อีสาน แตกต่างอย่างเด่นชัดกับถ้อยคำของเพลงแนวสุนทราภรณ์ เพลงสวัสดีปีใหม่สไตล์สามโทน จึงสร้างความแตกต่างด้วยการเข้าถึงชาวบ้าน และคนท้องถิ่น ด้วยภาษาที่ตรงไปตรงมา

พัฒนาการของปีใหม่ในปีต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร คงได้รู้กันอีกในปีหน้า

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image