ปีใหม่ของ ‘คนรุ่นใหม่’ ของขวัญที่อยากได้ ประเทศไทยที่อยากเห็น

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลอดปี 2563 ที่ผ่านมา “คนรุ่นใหม่” มีบทบาทในการเคลื่อนไหวทางการเมืองอันเกี่ยวเนื่องกับประเด็นหลากหลายในสังคมไทยอย่างเข้มข้น ดุเดือด ลึกซึ้งและจริงจัง ภายใต้ความคาดหวังที่พรั่งพรูบนเวทีปราศรัย เมื่อ เข็มนาฬิกาเปลี่ยนผ่านสู่ปีใหม่ในพุทธศักราช 2564 ประชาธิปไตยที่เรียกร้องในปีก่อน ของขวัญที่อยากได้ในปีนี้ ความวาดฝันผ่านมุมมองของพวกเขาต่อวันข้างหน้า มีหมุดหมายสำคัญอย่างไรบ้าง?

วรรณวลี ธรรมสัตยา

(ตี้ พะเยา)

Advertisement

“คาดหวังให้คนรากหญ้าทุกคนได้รับความเป็นธรรม”

อยากให้ประเทศไทยไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ อย่างที่รู้กันว่าเรามีทุนทรัพย์ มีทรัพยากรมากพอที่จะพัฒนาไปไกลกว่านี้ แต่มีคนที่เอาแต่ผลประโยชน์ ทำให้เราอยู่ได้แค่นี้

คาดหวังให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น คาดหวังให้คนรากหญ้าทุกคนได้รับความเป็นธรรม คาดหวังให้ภาษีของเราถูกใช้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด คาดหวังให้ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่านี้ ให้สมกับภาษีที่เสียไป

Advertisement

ไม่ได้คาดหวังอะไรมากไปกว่าคำว่าประชาธิปไตยจึงตัดสินใจออกมาตรงนี้ เรื่องคดีความ ก้าวข้ามความกลัวไปแล้ว ถึงตายก็ยอม ก่อนออกมาใช้เวลาทบทวนตัวเอง 2 ปี คดีเป็นเรื่องขี้มดมาก

ที่บ้านสมัยก่อนเคยเปิดบริษัทและปิดตัวลง ผ่านชีวิตของการมีเงิน และไม่มีเงิน มีเพื่อนที่ทั้งมีเงิน และไม่มีเงิน ได้ผ่านชีวิตทั้ง 2 ด้าน จึงมองว่าเศรษฐกิจคือเรื่องสำคัญที่ต้องผลักดัน คนมองว่าเศรษฐกิจไกลตัว แต่จริงๆ แล้วคำว่าเศรษฐกิจ รัฐธรรมนูญ กฎหมายต่างๆ นานา ไม่ใช่เรื่องไกลตัว การเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่อยู่ในชีวิตของเราทุกคน

ใครๆ ก็รู้ว่ารัฐบาลก้มหัวให้นายทุน อยากเตือนว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ท่านใช้คือเงินภาษีของเรา ที่ท่านอยู่ได้ก็เพราะเรา ท่านจึงต้องคิดเสมอว่าประชาชนคาดหวังอะไร ตอนหาเสียงบอกว่าทำเพื่อประชาชน นำเสนอนโยบายทุกอย่าง แต่เมื่อท่านได้อำนาจ ยศถาบรรดาศักดิ์ กลับละเลยประชาชน ท่านต้องจำไว้ว่าประเทศนี้เป็นของประชาชน ไม่ใช่แค่ของท่านหรือนายทุน

สามเณรสหรัฐ สุขคำหล้า

(เณรโฟล์ค)

วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล

“ไม่มีพระที่ช่วยให้รอด มีแต่ประชาชนที่ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”

ปีใหม่อยากได้ประชาธิปไตย และสิ่งที่มนุษย์เราไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา คนที่นับถือศาสนา หรือแม้กระทั่งคนพิการ ทุกคนมีหนึ่งอย่างที่เท่ากันคือเวลา 24 ชั่วโมง

ที่อยากได้มากที่สุด เพราะเวลาเราทุกคนเท่ากันก็จริง แต่บางคนมีเวลาว่างเพราะต้นทุนของเขาเป็นชนชั้นกลาง บางคนมีเวลาน้อยกว่าเพราะต้นทุนเป็นชนชั้นล่าง เป็นผู้ใช้แรงงาน เขาต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ เป็นวินมอเตอร์ไซค์ คนขับรถแท็กซี่ จึงอยากให้ทุกคนมีสิทธิ มีเสียงเรื่องเวลา เพราะเวลาเป็นสิ่งที่พระเจ้ามอบให้เราเท่ากัน แต่กลับมีระบอบบางระบอบ พยายามยึดโยง หรือโกงเวลาคนอื่นไป ไม่ว่าจะเป็นคนพิการ หรือคนสมบูรณ์ ต่างต้องมีสิทธิ-มีเสียงในเรื่องการโหวต แต่บางคนไม่มีสิทธิแม้กระทั่งครอบครองชีวิตของตัวเอง แทนที่จะเอาเวลาไปใช่ส่วนตัว กลับต้องมาดิ้นรน ทุรนทุรายกับโรคโควิด พิษเศรษฐกิจ ซึ่งการที่เรามีหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงในระบบการเมืองนั้นมันยังไม่พอ เรายังจะต้องมีระบอบประชาธิปไตยในที่ทำงาน เพื่อกำหนดเวลาชีวิตของเราด้วย

ถ้าเป็นของขวัญด้านสงฆ์ อยากให้ผู้ที่เป็นพระเปิดใจรับฟังทั้งสองฝั่ง อยากให้เปิดใจรับฟังคนข้างล่างบ้าง ว่าเขาเป็นอยู่อย่างไร สังเกตง่ายๆ วันไปบิณฑบาท เจอโยมที่ใส่บาตรให้ เขามีเวลาใส่บาตร เราไม่ได้ฉันข้าวของชนชั้นสูงอย่างเดียว เราก็ฉันข้าวของชาวนา ของคนหาเช้ากินค่ำทุกวันด้วย อยากให้มีความเห็นใจและเกิดการแก้ไข เพราะการเป็นพระมีต้นทุนสูง พูดอะไรแล้วมีเสียงที่ดังกว่า หรือแม้กระทั่งทำให้ชนชั้นนำหรือผู้คนฉุกคิดได้

ความเป็นพระของเราไม่มีเบื้องหลังอยู่แล้ว เพราะเป็นผู้ไม่มีภัย ไม่คิดจะทำร้ายใคร เจตนาดี คืออยากเห็นบ้านเมืองดีขึ้น

ปีนี้หากจะมีการดำเนินคดีรุนแรงขึ้นก็ไม่หวั่นไหว ไม่มีพระที่ช่วยให้รอด มีแต่พวกเราเท่านั้นที่เป็นประชาชน คนธรรมดา และพระ ที่ช่วยให้รอด ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสังคม เหตุการณ์แบบนี้ย่อมเกิดอยู่แล้ว ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่มันจะไม่มีวันถอยหลังกลับไปอีก แม้กระทั่งความคิดที่ก้าวหน้าของคน สังเกตได้จากประวัติศาสตร์ มันจะต้องก้าวไปข้างหน้าช้าหรือเร็ว ก็ต้องก้าวไป

ศาสนาพุทธสอนว่า “อัตตานัง อุปมัง กเร” เอาใจเขามาใส่ใจเรา แต่ความจริงแล้ว ในความเป็นมนุษย์มีความไม่สมบูรณ์อยู่ เรามีด้านดีก็ต้องมีด้านเลวร้าย การเอาใจเขามาใส่ใจเรานั้นยังไม่พอ เราต้องเผื่อด้านเลวของเราไว้ด้วย จงกลัวตัวเราเองเหมือนเรากลัวคนข้างบ้านหรือคนที่เราใส่ใจเขา เพราะเราก็มีความที่ไม่ใช่มนุษย์อยู่ เช่นมีอารมณ์ร้าย มีความคิดที่อาฆาตใครก็ตาม ต้องตระหนักเรื่องของตัวเองให้ดีขึ้น และคิดว่าเราต้องรักษาความสมดุลระหว่างด้านเลวและด้านดีของมนุษย์ด้วย ไม่ได้บอกว่าการรักคนอื่นไม่ดี แต่ก็ต้องรักตัวเองด้วย การทำเพื่อตัวเองก็ทำเพื่อคนอื่นด้วยเช่นกัน

ขอให้คนไทยผ่านวิกฤตความรุนแรงในประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ให้ไม่ต้องมีการสูญเสียใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะฝั่งอนุรักษนิยม หรือฝ่ายก้าวหน้า ขอให้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เกิดความสูญเสียใดๆ ทั้งสิ้น และขอให้ทุกคนเปิดอกเปิดใจรับฟังคนอื่น และอดทนอดกลั้นกับความคิดเห็นที่แตกต่าง

ความเห็นต่างไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย แต่แค่ไม่เหมือนเดิมเฉยๆ อย่างที่เราเป็นอยู่ในทุกๆ วัน

ศุกรียา วรรณายุวัฒน์

(มายมิ้นท์)

นิสิตคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มคณะจุฬา

“อยากได้วัคซีนโควิด เพื่อให้คนกล้าออกมาเคลื่อนไหวในขบวนการประชาธิปไตย”

ของขวัญที่เป็นรูปธรรมหน่อย ก็คงอยากได้ “วัคซีนโควิด” แต่ก็มีหลายอย่างที่จะต้องต่อสู้กันต่อไปในเรื่องนั้น แต่สิ่งที่จะทำให้เราต่อสู้กันไปได้ในหลายๆ อย่าง หรือแม้แต่คนที่เขาไม่ได้คิดจะสู้เพื่อระบบที่ถูกกดขี่ เขาก็ยังจะต้องมีชีวิตอยู่ และการต่อสู้ของเรานั้น สู้เพื่อให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีกว่านี้ มีสังคมที่ดีกว่านี้ ซึ่งจะไม่สามารถผ่านมันไปได้เลย ถ้าไม่มีเครื่องมือที่จะมาช่วยให้ใช้ชีวิตได้ตามปกติ ได้อย่างสบายใจ

ที่มองเรื่องโควิด เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ เรารู้ว่าการจัดการของรัฐบาลเรามันห่วยแตก

มาก รู้ว่ารัฐบาลไม่สามารถจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ เรารู้สึกว่าวัคซีนมันเป็นเครื่องมือป้องกันและทำให้สบายใจได้อย่างหนึ่ง ที่คนจะสามารถออกมาข้างนอก ออกมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ หรือแม้แต่การออกมาเคลื่อนไหวในขบวนการประชาธิปไตย ถ้ามีวัคซีนก็ทำให้คนกล้าที่จะออกมามากขึ้น สิ่งสำคัญคือยังมีคนชนชั้นแรงงานอีกมาก ที่เขาไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ หรือเขาไม่มีทรัพยากรที่จะมาซัพพอร์ตการใช้ชีวิตของเขาได้ ซึ่งถ้าเราสามารถแจกวัคซีนโควิดให้กับทุกคนได้ คนก็จะใช้ชีวิตที่เป็นปกติมากขึ้น สามารถทำงาน สามารถใช้ชีวิตได้ ซึ่งจะนำมาสู่ความรู้สึกปลอดภัยในการออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยได้ดีขึ้น

ของขวัญที่อยากได้ คิดว่ายากมาก ประชาคมโลกก็กำลังพยายามอยู่ แต่กว่าจะเข้าสู่ขั้นตอนการผลิต ขั้นตอนการแจกจ่ายและในระบบของประเทศที่เป็นแบบนี้ ระบบประเทศเราแค่หลับตาคิดว่ามีวัคซีนแล้ว เรายังรู้เลยว่าการแจกจ่ายหรือการกระจายของพวกนี้ในประเทศมันต้องมีปัญหาแน่ๆ แต่ก็ขอให้มีก่อนเถอะ

2020 เป็นปีที่เหนื่อย และค่อนข้างยากลำบากพอสมควรสำหรับทุกๆ คน มีความสูญเสียเกิดขึ้นมากมาย เป็นปีที่ “อะไรที่ไม่เคยเห็น ก็ได้เห็น” ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก มีช่วงที่เงียบไป ไม่เกิดอะไรขึ้นเลย มีแต่ความหดหู่และความกลัว และอยู่ดีๆ ก็มีช่วงที่ทุกคนออกมาและกล้าหาญ อย่ามองแต่ว่าเราสูญเสียอะไรไปบ้าง แต่ปีนี้เราได้อะไรมาเยอะมาก เราได้พูดเรื่องที่ทุกคนไม่เคยกล้าพูดตลอดการมีประเทศไทย เราไม่เคยได้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันตรงๆ แต่ในวันนี้เราก็ได้ทำแล้ว เราไม่เคยเห็นเด็กมัธยมออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หรือออกมาเคลื่อนไหวอย่างเป็นรูปธรรม อย่างเป็นพลเมืองตื่นรู้มากขนาดนี้ ในปีนี้เราก็ได้เห็นเป็นจำนวนมาก นั่นคือความสำเร็จในปีนี้ที่อยากให้ไม่ลืมกันไป ไม่ท้อแท้กันไปก่อน ช่วงปีใหม่ก็ออมแรงเอาไว้ เราเชื่อว่าอย่างไรปีหน้าจะได้ร่วมสู้กันต่อไปอีก

 

สิรภพ อัตโตหิ

(แร็ปเตอร์)

แกนนำกลุ่มเสรีเทยย์พลัส

“อยากให้เกิดสมรสเท่าเทียม นี่จะเป็นปีที่เราผลักดันอย่างจริงจัง”

ถ้าจะขอของขวัญอะไรได้ ก็ขอให้สิ่งที่ประชาชนคนไทยในการต่อสู้ครั้งนี้มุ่งมาดปรารถนาไว้ ให้สำเร็จ หรือก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรมในปีนี้ และขอให้จิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ของทุกคนยังคงอยู่ และไม่แตกสลายไปในปีนี้

การจะได้ของขวัญชิ้นนี้มา ยากแน่นอน แต่ตราบใดที่เรายังเดินไปด้วยกัน จับมือและก็สู้ไปด้วยกัน มันจะถึงวันนั้นแน่นอน วันที่เราได้ของขวัญชิ้นนั้นมา

ในฐานะแรปเตอร์ ก็อยากให้ปีนี้เป็นปีที่ไม่ใจร้ายกับเรามากเกินไป อยากจะรักษาสุขภาพกาย สุขภาพใจของตัวเอง และต่อสู้ไปด้วยกันกับทุกๆ คนในปีนี้

ในฐานะนักเคลื่อนไหว อยากให้ปีนี้เป็นปีที่เราชนะสักที ในเรื่องส่วนตัวไปอีก คือเราทำกลุ่มเสรีเทยย์พลัส ปีนี้อยากให้เกิดสมรสเท่าเทียม สปอยล์เลยก็ได้ว่า ปีนี้จะเป็นปีที่เราผลักดันเรื่องสมรสเท่าเทียมอย่างจริงจัง

เจ๊ป๊อกกี้

“อยากให้สังคมไทยมองแรงงานต่างด้าวอย่างเท่าเทียม”

อยากปฏิรูปประเทศไทย เราต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะฉะนั้น อยากให้มีการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ อยากให้สังคมไทยมองแรงงานต่างด้าวอย่างเท่าเทียม เพราะเราเป็นคนเท่ากัน พวกเขามีส่วนช่วยในการเพิ่มมูลค่าและอัตราการเติบโตของ จีดีพีถึง 5 เปอร์เซ็นต์

แต่พอมีประเด็นโควิด โยนให้แรงงานต่างด้าวผิดฝ่ายเดียว ทำไมไม่โทษตัวเองบ้าง

อังเดร (นามสมมุติ)

กลุ่มอาชีวะฟันเฟืองประชาธิปไตย

“อยากให้ประเทศไทยดีขึ้น นายกฯออกไป ประชาธิปไตยคืนมา”

อยากให้ประเทศไทยดีขึ้น อยากให้นายกฯออกไป อยากได้ความเป็นประชาธิปไตยกลับคืนมา

สิ่งที่นายกรัฐมนตรีทำได้มีอย่างเดียวคือ ทำให้อาชีวะจับมือกัน ปีที่ผ่านมาพวกผมกล้าพูดว่า ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร สมัยก่อนตีกัน เพราะต่างคนต่างคิด แต่ตอนนี้อาชีวะทุกสถาบันจับมือ ขับรถไปเจอกันที่ไหน แต่ละสถาบันยิ้มให้กัน ร่วมอุดมการณ์เดียวกันคือขับไล่เผด็จการ

ถ้าทำสำเร็จ ครอบครัวผมคงรุ่งขึ้นบ้าง ตอนนี้ยิ่งจนลงไปเรื่อยๆ นี่ก็ดร็อปเรียนอยู่ เพราะมีปัญหาด้านการเงิน ปีนี้อยากได้งานทำ พยายามสมัครงานอยู่ งานที่ไม่มองคนที่ภายนอก บุคลิก รอยสัก อยากเป็นช่างยนต์ ผมออกมาอย่างนี้ พ่อเป็นห่วง แต่ก็สนับสนุน เพราะมีอุดมการณ์เดียวกันทั้งบ้าน พ่อเป็นพนักงานบริษัท แม่เป็นแม่บ้าน ต้องกู้หนี้ยืมสิน ทุกอย่างไม่ลงตัว ของแพง โครงการของรัฐบาลหลายอย่างไม่เอื้อต่อคนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน คนที่ยากไร้จริงๆ ไม่มีสิทธิได้อย่างนั้นหรือ ผมมองว่ามันไม่ใช่ การแจก การให้ ประชาชนควรได้รับอย่างเท่าเทียม

ไม่มีใครด้อยไปกว่าใคร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image