ที่มา | คอลัมน์ สยามประเทศไทย มติชนรายวัน |
---|---|
เผยแพร่ |
ไทยอยู่บนเส้นทางการค้าโลกอย่างน้อยตั้งแต่ราวเรือน พ.ศ. 1000 (หรือก่อนยุคทวารวดี)
เส้นทางการค้าโลกที่สำคัญ คือ ตะวันตกกับตะวันออก หรืออินเดียกับจีน ทำให้บริเวณนี้เคยถูกเรียกจากเจ้าอาณานิคมยุโรปว่า อินโดจีน
สถานที่ตั้งอันเป็นคุณสมบัติอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องทำตัวเหมือน เห็บ (ตามแนวคิดเห็บสยาม ของกระทรวงการคลัง) ก็เติบโตมั่งคั่งและมั่นคงได้ (มีพยานสำคัญมากคือสิงคโปร์) ถ้าไม่กะล่อนตามแบบศรีธนญชัย
ประเทศไทย นอกจากจะตั้งอยู่กึ่งกลาง (โดยประมาณ) ของภูมิภาคแล้ว ลักษณะภูมิศาสตร์ยังเกื้อกูลให้เกิดผลดี เนื่องจากมีพื้นที่เป็นแผ่นดินทอดยาวยื่นลงไปทางทิศใต้เป็นคาบสมุทร มีทะเลขนาบ 2 ด้าน คือ ทะเลจีนกับทะเลอันดามัน
ทะเลจีน ในมหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ทางตะวันออก กับ ทะเลอันดามัน ในมหาสมุทรอินเดีย อยู่ทางตะวันตก ทำให้รับประโยชน์จากลมมรสุมทะเลอย่างน้อย 2 ประการ คือ การกสิกรรมและการค้า
การกสิกรรม ลมมรสุมจากทะเล 2 ด้าน ทำให้มีฝนตกชุก ส่งผลให้การเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร และการประมงในทะเลอุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายทางชีวภาพ
การค้า ลมมรสุมจากทะเล 2 ด้าน ทำให้มีการเดินเรือทะเลค้าขายกับบ้านเมืองที่อยู่ห่างไกล
บริเวณประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของเส้นทางคมนาคมค้าขายทางทะเลมาแต่โบราณกาล เท่ากับเป็นตัวเชื่อมโยงการแลกเปลี่ยนค้าขายระหว่างตะวันออกกับตะวันตก
โลกตะวันออก เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ฯลฯ กับ โลกตะวันตก เช่น อินเดีย อาหรับ เปอร์เซีย ยุโรป ฯลฯั้
จึงส่งผลให้กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางการค้านานาชาติในสมัยโน้น แล้วไทยเป็นศูนย์กลางการบินพาณิชย์ของนานาชาติในสมัยนี้
ถ้ามีระบอบการปกครองอย่างสากลโลก ก็มั่นคงและมั่งคั่งได้ โดยไม่ต้องเป็นเห็บเผด็จการ