ที่มา | คอลัมน์ เดินไปในเงาฝัน มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สาโรจน์ มณีรัตน์ [email protected] |
เผยแพร่ |
หากใครมีโอกาสร่วมงานสัมมนา 40 ปี ประชาชาติ CSR 360 องศา ในหัวข้อ “ธุรกิจเพื่อสังคมบริบทใหม่ สร้างไทยยั่งยืน” เมื่อวันพุธที่ 24 สิงหาคม 2559 ณ ห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ที่ผ่านมา
คงจะมองเห็นภาพของการร่วมมือกันของภาคเอกชนหลายแห่ง ที่เริ่มเข้าไปมีบทบาทในภาคสังคมประชารัฐมากขึ้น ยิ่งเฉพาะต่อเรื่องการพัฒนาชุมชนโดยรอบที่ธุรกิจของตัวเองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
ถ้ามองย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน เราแทบจะไม่เห็นองค์กรหนึ่งองค์กรใดให้ความสำคัญต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมเลย
ตรงข้ามกลับตักตวงเอาแต่ผลประโยชน์กลับสู่องค์กรของตัวเอง
เพื่อสร้างผลกำไร
ตอบแทนคู่ค้า พนักงาน ผู้ถือหุ้น
แต่ไม่สนใจเลยว่าชุมชนที่ตัวเองเข้าไปดำเนินธุรกิจจะเป็นอย่างไร สภาพแวดล้อมเสียหายหรือไม่ มีมลพิษทางอากาศ เสียง และฝุ่นละอองหรือเปล่า
จนเกิดคดีฟ้องร้องมากมาย และในท้ายที่สุดชุมชนต่างๆ เหล่านั้นก็แพ้คดีไปอย่างราบคาบ จนเป็นรอยด่างในใจที่ทำให้ชุมชนต่างๆ ในประเทศไทยไม่มีความไว้วางใจขบวนการทางทุนนิยมอีกเลย
ยิ่งเมื่อมีภาคเอ็นจีโอเข้ามาสนับสนุน ยิ่งจะทำให้รอยด่างในใจถ่างออกมากยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้อยู่คู่กับสังคมไทยมาหลายปี กระทั่งเริ่มมีการพูดถึงเรื่องของธรรมาภิบาล
ความโปร่งใส
การตรวจสอบย้อนกลับ
รวมไปถึงแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่ควบคู่ไปกับการทำกิจการเพื่อสังคม หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Corporate Social Responsibility-CSR
เรื่องราวเหล่านี้แม้จะเป็นเรื่องใหม่ในสังคมธุรกิจ จนทำให้หลายองค์กรเชื่อว่าแนวทางในการดำเนินกิจการเพื่อสังคมคงจะเป็นเรื่องของการปลูกป่าชายเลน สร้างฝาย บริจาคเงิน และสิ่งของต่างๆ
ก็เลยต่างพากันทำเรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมด
ถามว่าดีไหม?
ก็ดี
แต่ถ้าถามลึกไปกว่านั้นว่ามันใช่คำตอบจริงๆ หรือเปล่าของกระบวนการทำซีเอสอาร์?
ปรากฏว่าไม่ใช่
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรอก เพราะเรื่องกิจการเพื่อสังคมเริ่มต้นจากแนวคิดของฝั่งตะวันตก กระทั่งไหลบ่ามาทางฝั่งตะวันออก
เข้าไปอยู่ในบริษัทจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ฯ จนพัฒนาต่อยอดให้ทุกองค์กรต้องเขียนรายงานเกี่ยวกับกิจการเพื่อสังคม
บางองค์กรอาจก้าวข้ามพ้นคำว่าซีเอสอาร์
บางองค์กรมองเห็นว่าแนวทางที่ทำอยู่นั้นไม่สามารถทำให้สังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อมโดยรอบบริษัทที่ตัวเองเข้าไปดำเนินธุรกิจเกิดความยั่งยืนได้
ท้ายที่สุดจึงเกิดคำว่า “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” หรือ “Sustainable Development-SD” ในเวลาต่อมา ทั้งยังมีกระบวนการในการพัฒนาอย่างยั่งยืนรอบด้าน
ไม่ว่าจะเป็นคน องค์กร ผลิตภัณฑ์ สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ที่ต่างเกื้อหนุนกันเพื่อให้สังคมโดยรวมอยู่กันอย่างมีความสุข
ดังนั้น องค์กรต่างๆ ที่ถูกรับเชิญให้ขึ้นมาพูดบนเวทีสัมมนา 40 ปี ประชาชาติ CSR 360 องศา “ธุรกิจเพื่อสังคมบริบทใหม่ สร้างไทยยั่งยืน” อย่างเอสซีจี, มิตรผล, มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง, ไทยเบฟ, เครือเจริญโภคภัณฑ์, พรีเมียร์ กรุ๊ป และนารายา จึงเป็นตัวอย่างของ 7 องค์กรที่ปรับโมดูลธุรกิจให้สอดรับกับแนวทางในการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ทั้งบางองค์กรยังพัฒนาไปถึงระดับสากล เพื่อให้องค์กรของตัวเองถูกรับการคัดเลือกให้ติดอันดับ Dow Jones Sustainability Indices-DJSI
หรือดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์
เพราะ DJSI คือการจัดอันดับความยั่งยืนทางธุรกิจระดับโลก ไม่ได้คำนึงถึงแนวทางด้านธุรกิจเท่านั้น แต่ยังมองครอบคลุมไปยังเรื่องสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับจรรยาบรรณทางธุรกิจ, การบริหารความเสี่ยง การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม และการจัดการห่วงโซ่อุปทาน
สิ่งต่างๆ เหล่านี้คือเป้าหมายที่แต่ละองค์กรกำหนดแนวทางไว้
ดังนั้น สิ่งที่ได้จากการเรียนรู้ รับฟังมุมมองขององค์กรต่างๆ ที่มาพูดในงานสัมมนา จึงไม่เพียงเป็นการเรียนรู้แลกเปลี่ยนมุมมองในแต่ละองค์กร
หากยังทำให้ผู้เข้าร่วมรับฟังสัมมนานำประโยชน์ และสาระที่ได้จากการสัมมนาครั้งนี้ไปปรับใช้ด้วย โดยเฉพาะกับองค์กรเล็กๆ หรือบางองค์กรที่กำลังเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ตรงนี้คือเป้าหมายเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน
เสมือนพี่สอนน้อง
เสมือนโค้ชที่บอกกล่าวกันและกัน
จนทำให้องค์กรของไทยสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ เพราะดั่งที่ทุกคนทราบดีโลกของเราทุกวันนี้แบนราบเข้าหากัน
โลกธุรกิจก็เช่นกัน
รวมไปถึงโลกแห่งสังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อมด้วย
หากเรามีการบริหารจัดการแบบมืออาชีพ มีความเป็นสากล และมีธรรมาภิบาลที่ดี เราในฐานะองค์กรของไทย เดินไปประเทศไหน เขาก็พร้อมอ้าแขนรับ
พร้อมจะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ
ยิ่งโลกในปัจจุบันเป็นยุคของอี-คอมเมิร์ซด้วยแล้ว ดังนั้น การทำธุรกิจต่อไปในอนาคต หากเราวางแผนการบริหารจัดการที่เป็นระบบ
นำมาตรฐานระดับโลกมาประยุกต์ใช้
โอกาสที่บริษัทต่างๆ จะแบนราบเข้าหากันอย่างสมดุลย่อมมีสูงขึ้น
ซึ่งเหมือนกับองค์กรทั้ง 7 ที่กำลังสยายปีกไปในนานาประเทศทุกวันนี้
ล้วนต่างเติบโตมาจากการลองผิดลองถูกมาแล้วทั้งสิ้น
แล้วทำไมเราไม่เริ่มต้นลองทำกันบ้างล่ะ?