แทงก์ความคิด : สงกรานต์ยุคโควิด

แทงก์ความคิด : สงกรานต์ยุคโควิด

แทงก์ความคิด : สงกรานต์ยุคโควิด

มีประสบการณ์ตรวจโควิด-19 ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดอีกรอบ
ถือเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ต้องลุ้น

เรื่องของเรื่องคือหลายวันก่อนร่วมทริปเดินทางไปต่างจังหวัด แต่ละคนสวมหน้ากากอนามัยตามยุคสมัย

หลังจากเพลิดเพลินจากการทัวร์ พอกลับมาถึงกรุงเทพฯได้รับแจ้งจากเพื่อนร่วมคณะว่า “ติดโควิด”

Advertisement

ตามมาตรฐานสาธารณสุข เมื่อร่วมคณะกับผู้ป่วยก็ต้องกักตัว ดูอาการ และถ้าจะให้แน่ใจก็ต้องไปตรวจที่สถานพยาบาล

ปัญหาก็คือ จะไปตรวจที่ไหน

ปัญหาข้อนี้คลี่คลายได้ไม่ยาก เพราะข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็มี ข้อมูลจากเพื่อนๆ ก็มี

Advertisement

เมื่อค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต แล้วโทรไปยังสถานพยาบาลที่บอกว่ารับตรวจ
โควิด พบว่ายังมีเงื่อนไข

นั่นคือเราต้องมีประกันสังคมกับทางสถานพยาบาลแห่งนั้นจึงจะตรวจได้

อ้าว เหรอ

หลังจากนั้นนึกได้ว่าเคยตรวจโควิดที่จุฬาฯครั้งหนึ่งตอนไปงานแถลงข่าว จึงติดต่อขอไปตรวจ

เงียบ !

เงียบนานเกินไป จึงสอบถามเพื่อนพี่น้องและได้รับคำตอบให้ไปติดต่อสถานพยาบาลเป้าหมาย

เดินทางไปถึงสถานพยาบาลเอกชน เห็นผู้คนมารอรับการตรวจโควิดจำนวนมาก

สอบถามทราบว่า มีค่าใช้จ่าย 3,500 บาท

พอเรา “โอเค” พยาบาลชี้ให้ออกไปนั่ง ณ สถานที่ที่เตรียมไว้นอกอาคาร ส่องดูแล้วเห็นคนยืนรอนั่งรออยู่หลายคน สอบถามทราบว่าวันนั้นมีผู้แสดงความประสงค์ขอตรวจโควิดมาก

หลังจากวันนั้นทราบว่ามีมากกว่านี้อีก มากจนกระทั่งโรงพยาบาลต้องขอหยุดตรวจ

ตอนรอตรวจ ต้องระลึกเสมอว่าทุกคนที่มาตรวจ คือกลุ่มเสี่ยง ดังนั้น ต้องท่องคาถา สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง เข้าไว้

วันนั้น ใช้เวลา 30 นาที เจ้าหน้าที่จึงออกมาเช็กชื่อ ขอบัตรประจำตัวประชาชนไปทำประวัติ แล้วรออีก 1 ชั่วโมง พยาบาลมาเรียกให้เข้าไปในตัวอาคาร เพื่อวัดความดัน ซักถามเหตุผลที่มาตรวจ แล้วก็ไปนั่งรอพบหมอ

อีกไม่นานพยาบาลเรียกไปพบหมอ เพื่อซักถามอีกครั้ง

แพทย์จดเหตุผลของเรา ยอมรับว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง และแนะนำว่า แม้ผลตรวจจะไม่พบเชื้อก็ต้องกักตัว 14 วันนะ

รับทราบ !

จากนั้นออกไปนั่งรอ กระทั่งพยาบาลพาไปห้องตรวจ บอกให้เงยหน้า แล้วใช้สำลีก้านยาวแยงเข้าไปในจมูก ป้ายเอาสารคัดหลั่งในโพรงจมูกไปตรวจ

จากนั้นจ่ายเงิน แล้วรอฟังผล พยาบาลแจ้งว่าอีก 1 วันทราบผล ทางเจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับไป

วันรุ่งขึ้นรอจนเกือบเที่ยงไม่ได้รับการติดต่อกลับจึงต้องติดต่อไปฟังผลเอาเอง

ผลตรวจไม่พบเชื้อ

แจ้งผลให้เพื่อนๆ ร่วมคณะที่ไปต่างจังหวัดด้วยกันทราบ

สรุปได้ว่า สมาชิกในคณะที่เดินทางมีสักครึ่งร้อย มีผู้ร่วมคณะติดเชื้อ 3 คน

นึกย้อนกลับไปต้องขอบคุณมาตรการสาธารณสุขที่ทุกคนน่าจะท่องกันขึ้นใจแล้ว

นั่นคือ สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ ตรวจวัดอุณหภูมิ

เพียงแต่บางจังหวะ เช่น รับประทานอาหาร หรือถ่ายภาพ ที่ถอดหน้ากากอนามัย

ระหว่างกักตัว 14 วันเปิดฟังข่าว อ่านข่าว ทราบว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตัวนี้หลายคน

แหล่งที่แพร่เชื้อเรียกว่า “คลัสเตอร์” แต่ละคลัสเตอร์มีข้อบกพร่องเรื่องหน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้า

การติดเชื้อโควิดกันอีกรอบทำให้ข่าวสารด้านโรคระบาดได้รับความสนใจอีกครั้ง

ทราบว่าไวรัสที่เป็นต้นเหตุของโรคโควิดมีพัฒนาการ ไวรัสได้กลายพันธุ์ เพิ่มความสามารถในการระบาดมากขึ้น ซึ่งแพทย์บอกว่าเป็นธรรมชาติของไวรัส

แต่ไม่ว่าไวรัสจะกลายพันธุ์ไปกี่ตลบก็ตาม หากยึดมั่นในมาตรการสาธารณสุข โอกาสที่จะเจ็บป่วยเพราะไวรัสก็น้อยลง

ดังนั้น มาตรการทางสาธารณสุขคือหัวใจของการดำรงชีวิตในยุคโควิด

เทศกาลสงกรานต์ที่มีวันหยุดยาวเช่นในขณะนี้ หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าการระบาดจะมีมากขึ้น จึงมีคำแนะนำว่าขอให้ทุกคนสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือด้วยสบู่และเจลแอลกอฮอลล์

เพราะถ้าทุกคนทำเช่นนั้น โอกาสติดเชื้อจะลดลงมาก

ยิ่งถ้าเว้นระยะห่าง ไม่เอามือไปแคะขี้ตา ควักขี้มูก ไม่เปิดทางให้ไวรัสเข้าร่างกายทางปากทางตาทางจมูกได้

โอกาสป่วยไข้ก็มีน้อย

สำหรับเทศกาลสงกรานต์ปีนี้แตกต่างจากเทศกาลสงกรานต์เมื่อปีก่อน

ปีนี้รัฐบาลไม่ได้เลื่อนวันหยุด ไม่ได้ล็อกดาวน์

ปีนี้รัฐบาลมีความพร้อมทางสาธารณสุขขึ้นมาก ทั้งการตรวจและการรักษา

ปีนี้ประชาชนมีประสบการณ์การอยู่ภายใต้ข้อจำกัดอันเกิดจากโรคระบาดมาแล้ว

ทุกคนรู้ว่าถ้าใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ หลีกเลี่ยงใช้มือสัมผัสใบหน้า และอื่นๆ จะทำให้ปลอดโรคปลอดภัย

ดังนั้น แค่ทุกคนถือปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขเช่นนี้อย่างเข้มข้น เชื่อว่าทุกคนสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์การระบาดได้

ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง การรับประทานอาหาร การกราบไหว้ผู้ใหญ่ผู้สูงวัย

ทุกคนล้วนรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร อะไรเสี่ยงอะไรไม่เสี่ยง

การใช้ชีวิตในช่วงวันหยุดกับครอบครัว แม้ต้องเข้มงวดในมาตรการสาธารณสุขก็ยังสามารถทำให้ครอบครัวอบอุ่นได้

ไปซื้ออาหารมาทำกินที่บ้าน ออกไปเดินห้างก็ใส่หน้ากากอนามัย เดินสวนสาธารณะก็เว้นระยะห่าง

ทำกิจกรรมใดๆ ก็ยึดมาตรการทางสาธารณสุขเป็นสำคัญ

ถ้าทำได้เช่นนี้ สงกรานต์ปีนี้น่าจะปลอดภัย

คนไทยทุกคนก็ไม่ต้องเกรงกลัวโรคโควิด-19 จนถึงขนาดต้องปิดบ้านปิดเมืองกันแล้ว

เพราะการป้องกันโรคโควิด-19 ให้ได้ผลแค่ปิดปากปิดจมูกไม่ให้ไวรัสเข้าร่างกายก็เอาอยู่

ที่ผ่านมาทุกคนเคยได้ยินข้อแนะนำจากสาธารณสุขอยู่บ่อยๆ

วันนี้ขอให้นำเอาข้อแนะนำมาใช้ในชีวิตจริง

เป็นนิวนอร์มอลภาคปฏิบัติที่ต้องทำเพื่อรับมือกับโรคระบาด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image