7 ปี บิลลี่สูญหาย ชนพื้นเมือง สิทธิพื้นฐาน และ ‘บ้าน’ ที่ยังกลับไม่ถึง

นับเป็นเวลา 7 ปีเต็มที่นักต่อสู้ชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยบิลลี่-พอละจี รักจงเจริญ สูญหาย

แม้ต่อมาจะพบชิ้นส่วนกระดูกที่ถูกชี้ชัดถึงการถูกฆาตกรรม ทว่า ความเป็นธรรมยังเดินทางมาไม่ถึง เช่นเดียวกับกรณี กะเหรี่ยง
บางกลอย ที่ผู้คนต้องคอยร่วมเซฟให้ปลอดภัยจากอำนาจรัฐ หวังว่าพวกเขาจะได้ ‘กลับบ้าน’ ในการเดินทางอันยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ

วันที่ 21 เมษายน 2564 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จัดงานพูดคุยหัวข้อ “ห้องเรียนสิทธิมนุษยชนออนไลน์ ตอน สิทธิชนเผ่าพื้นเมือง” ผ่านช่องทาง zoom เนื่องในวาระครบรอบ 7 ปีการหายตัวไปของบิลลี่ โดยมีประเด็นน่าสนใจมากมาย

ไม่ได้เรียกร้องมากกว่าใคร

Advertisement

แค่ขอให้‘เท่าเทียมกัน’

5,000 คือจำนวนกลุ่มชาติพันธุ์บนโลกใบนี้ ตามข้อมูลที่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย นำเสนอ โดยถือเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก ซึ่งในเอเชียมีกลุ่มชาติพันธุ์ 70 เปอร์เซ็นต์ นับว่ามากที่สุดในโลก สำหรับนิยามของคำว่า ‘ชนพื้นเมือง’ คือระบุว่าตนนั้นเป็นชนพื้นเมือง มีประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับภูมิภาค ดินแดนและทรัพยากรธรรมชาติโดยรอบรวมทั้งมีอารยธรรมเป็นของตัวเอง มีระบบสังคม เศรษฐกิจ สังคมที่เป็นเอกลักษณ์ และส่วนใหญ่พบว่าถูกเลือกปฏิบัติจากภาครัฐ ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองหรือ UNDRIP ระบุว่าชนเผ่าพื้นเมืองนั้นมีเสรีภาพและความเท่าเทียมกับกลุ่มคนอื่นๆ และมีสิทธิจะใช้สิทธิโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบ โดยเฉพาะบนพื้นฐานของความเป็นชนเผ่า
พื้่นเมืองหรืออัตลักษณ์โดยกำเนิดของแต่ละคน

เกรียงไกร ชีช่วง จากเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ในขบวนของชนเผ่าพื้นเมืองในไทย พยายามจะทำความเข้าใจพัฒนาการของชนเผ่าพื้นเมืองมาโดยตลอดเมื่อเรานึกถึงชนเผ่าพื้นเมืองส่วนใหญ่ ในยุคล่าอาณานิคมชนเผ่าพื้นเมืองถูกกระทำ ถูกฆ่า เช่น ในอเมริกาที่มีอินเดียนแดงถูกล่า และอีกสถานการณ์หนึ่ง แต่ละรัฐชาติจะรวมความเป็นหนึ่ง กลุ่มชาติพันธุ์จึงต้องเข้ามารวมเป็นหนึ่งในชาติ ซึ่งอาจนำไปสู่การละเมิดกลุ่มชาติพันธุ์เท่านั้น เช่น รัฐไทยที่กำหนดให้พูดภาษาไทยเท่านั้น กะเหรี่ยงที่มีภาษาของตัวเองจึงไม่ตรงตามที่รัฐนิยาม

Advertisement

“ในประเทศไทย Indigenous people หมายถึงประชาชน ประชาชาติที่เป็นชนเผ่าพื้นเมือง มีความสืบเนื่องทางประวัติศาสตร์กับสังคมก่อนการรุกรานหรือล่าอาณานิคม มีความต่างจากภาคส่วนอื่นๆ ของสังคม และมีความมุ่งมั่นจะสืบทอดอัตลักษณ์ของตนต่อคนรุ่นอนาคต และขณะเดียวกันก็พร้อมจะสร้างสถาบันขึ้นมาในสังคมของตน ทั้งนี้ พวกเขามิได้เป็นกลุ่มครอบงำของสังคม เพราะชนเผ่าไม่ได้มีพื้นที่ขนาดนั้นแต่ได้รับผลกระทบจากนโยบายและโครงสร้างหลัก”

สำหรับในประเทศไทย สภาชนเผ่าพื้นเมืองถือเป็นการพัฒนาของกลุ่มพี่น้องชาติพันธุ์ในไทยที่ร่วมกันเปิดสภามาตั้งแต่ปี 2550 มีการนิยามตัวเองเช่น ชาวเขา ชาวเล ชาวไทยภูเขา กลุ่มชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อย เป็นต้น โดยรวมนั้นมีการพยายามจะให้สมาชิกและกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มใช้คำร่วมกันคือ Indigenous people

ส่วนประเด็นเรื่องการเรียกแทนตัวเองนั้น คำว่ากะเหรี่ยงถือเป็นภาษาทางการ และมีชื่อเรียกเฉพาะเช่น พี่น้องปกากะญอ หรือพี่น้องม้ง หรืออาข่า หรือในภาคใต้ก็มีพี่น้องมอแกน หรือมอแกลน หากเรียกถูกต้องก็ถือเป็นการยอมรับในขบวนการเคลื่อนไหวนั้น เวลานี้กำลังอยู่ในขั้นกลไกสภาเป็นการรวมกลุ่มชาติพันธุ์ 47 กลุ่ม และพยายามทำกิจกรรมสื่อสารสาธารณะ และพยายามผลักดัน พ.ร.บ.ชนเผ่าสาธารณะ ซึ่งตอนนี้ พี่น้องหลายส่วนพยายามผลักดันให้เกิดการคุ้มครอง พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ โดยแบ่งออกเป็นสามร่าง มีร่างแรกคือร่างจากรัฐที่มีหน่วยงานหลักเป็นศูนย์มานุษยวิทยาภายใต้กระทรวงวัฒนธรรม, ร่างที่สองคือร่างจากสภาชนเผ่าพื้นเมืองที่พี่น้องร่วมกันทำ และเมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา ก็ได้ยื่นรายชื่อให้รัฐสภา และร่างที่สามคือร่างจากคณะกรรมาธิการภายใต้สตรี เด็ก เยาวชน คนพิการและ LGBT โดยทั้งหมดนี้ถือเป็นพัฒนาการของสภาชนเผ่าพื้นเมือง

“การพัฒนากฎหมายคุ้มครองสิทธิชาติพันธุ์ต่างๆ เราไม่ได้พัฒนาเพื่อจะได้มีกฎหมายที่เป็นเอกสิทธิ์มากกว่าคนอื่น มากกว่าประชาชนคนไทย เราพัฒนาเพื่อจะให้สิทธิต่างๆ ที่ถูกกดทับ ถูกเอาเปรียบ ไม่ได้รับการเข้าถึง ให้มันได้ เราไม่ได้พัฒนาเพื่อเราจะพิเศษกว่าคนอื่น แต่เราจะพัฒนาสิ่งที่เราสูญเสีย ถูกละเมิดไปให้เท่ากับคนอื่น” เกรียงไกรกล่าว

การรุกไล่ในนามรัฐ

‘บางกลอย’ที่ยังกลับไปไม่ถึง

ด้าน พชร คำชำนาญ ที่คุ้นตากันในนามผู้แทนจากภาคีเซฟบางกลอย และพีมูฟ เริ่มการพูดคุยด้วยการตอบคำถามที่ว่าปัจจุบันชนเผ่าพื้นเมืองด้อยสิทธิกว่าคนไทยอย่างไรโดยยกตัวอย่างเรื่องชาวกะเหรี่ยงบางกลอย จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเกิดในพื้นที่ป่า ทำไร่หมุนเวียน เก็บของป่า แต่กลับถูกรุกไล่ออกจากบ้านของตัวเอง

“ประวัติศาสตร์ของบ้านชาวบ้านเริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2455 จากแผนที่ภาพถ่ายของกรมทหารบก ให้นึกว่าหากวันดีคืนดีมีพระราชบัญญัติป่าไม้ ระบุว่าบ้านเราเป็นป่าตามนิยามของรัฐ ต่อมาปี 2504 มี พ.ร.บ.อุทยานฯฉบับแรก ตามมาด้วยพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติขึ้น ที่ทำให้บ้านของเรากลายเป็นพื้นที่ป่า ทับซ้อนอย่างน้อย พ.ร.บ.สามฉบับ นี่คือสิ่งที่พี่น้องบางกลอยต้องเผชิญ

ชาวบ้านจึงแทบไม่หลงเหลือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เด็กที่ยังไม่ได้คลอดก็อยู่อย่างผิดกฎหมายตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แล้ว นี่คือสิ่งที่พี่น้องชาติพันธุ์ด้อยกว่า จากนั้นก็มีการพยายามผลักดันพี่น้องลงมาหลายครั้ง โดยพื้นที่ที่อพยพลงมาใช้เวลาเดินเท้าลงมาสองวัน คือหมู่บ้านโป่งลึก เมื่อนำพี่น้องลงมาก็ถูกเรียกว่าหมู่บ้านบางกลอยล่าง ซึ่งกลายเป็นการเบียดเบียนพี่น้องบ้านโป่งลึก สิ่งที่เกิดขึ้นคือพี่น้องบางกลอยไม่ได้รับการจัดสรรพื้นที่ทำกินเลย หรือทำกินแบบเดิมไม่ได้ ทำไร่หมุนเวียนไม่ได้ รวมทั้งเข้าถึงระบบน้ำต่างๆ ไม่ได้ บางส่วนจึงกลับขึ้นไป จนการเข้ามาของชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานในขณะนั้น เกิดยุทธการตะนาวศรี นำเจ้าหน้าที่เข้าไปในพื้นที่แล้วผลักดันชาวบ้านลงมาหลายครั้ง เผาบ้าน และยุ้งข้าวไป 98 หลัง

การขับไล่ในวันนั้นต้องเรียกว่าการผลักดันโดยไม่มีการจัดสรรใดๆ ชาวบ้านจึงต้องทนทุกข์อยู่ในพื้นที่ ซึ่งมีลักษณะเหมือนค่ายกักกัน ทั้งนี้ ผ่านมา 25 ปี ชาวบ้านยังคงเจ็บปวด ครูป๊อด-ทัศกมล โอบอ้อม ที่เป็นทนายความถูกลอบสังหาร บิลลี่-พอละจี รักจงเจริญ ที่เป็นแกนนำต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมทั้งหลายโดยเฉพาะในชั้นศาลปกครอง และถูกอุ้มหายปี 2557”

คนอยู่กับป่า ป่าอยู่กับคน

‘ชนเผ่าทำลายป่า’วาทะล้าหลัง

ปิดท้ายด้วยมุมมองของ ธนกฤต โต้งฟ้า เยาวชนกะเหรี่ยงบ้านคลิตี้ล่าง ซึ่งกล่าวในประเด็นการต่อสู้ของชนเผ่าพื้นเมืองซึ่งมีปัญหาจากนโยบายและความไม่ใส่ใจของรัฐ ในไทยมีชาติพันธุ์ราวๆ 63 ชาติพันธุ์ คิดเป็นชนเผ่าพื้นเมือง 39 กลุ่ม ล่วงเลยมาถึงปัจจุบันนี้ ยังมีทัศนคติหรือแนวความคิดของคนที่ปกครองประเทศ โดยเฉพาะภาครัฐ ที่นิยามชนเผ่าพื้นเมืองว่าเป็นผู้ทำลายป่า ติดยา ด้อยพัฒนา โดยไม่ได้เข้าไปศึกษาหรือเรียนรู้วิถีชีวิตของชาติพันธุ์กะเหรี่ยงจริงๆ ว่าพวกเขากลมกลืนและมีวัฒนธรรมกับป่าอย่างไรบ้าง

“แนวคิดที่ว่าชนเผ่าทำลายป่านั้นกลายเป็นแนวคิดที่ล้าหลังเสียเอง แนวคิดของรัฐที่บอกว่าป่าต้องเป็นป่าเท่านั้นจึงผิดมหันต์ เพราะในป่ามีคนอยู่ คนกับป่าอยู่ร่วมกันได้ แนวทางการพัฒนาประเทศต่างๆ ของรัฐจึงมองข้ามคนที่อยู่ในป่าไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ชนเผ่าพื้นเมืองอยู่ จะมีระบบนิเวศที่สมบูรณ์ มีแหล่งน้ำ แหล่งอาหารและมีทรัพยากรที่ล้วนเป็นที่ต้องการของคนและรัฐที่อยากเข้าไปพัฒนา โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาแร่ เหมืองต่างๆ โดยไม่มีกระบวนการหรือกลไกใดๆ รองรับประชาชน ทั้งยังไร้ความรับผิดชอบหรือการเยียวยาต่อเผ่าชาติพันธุ์”

และแน่นอนว่า ประเด็นเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่อาจแยกจากมุมมองด้านการเมืองเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ซึ่ง พรสุข เกิดสว่างผู้อำนวยการเพื่อนไร้พรมแดน เล่าว่า ในการต่อสู้หลายๆ ครั้งเมื่อโฟกัสเรื่องเสรีภาพการแสดงออก การมีส่วนร่วมทางการเมืองต่างๆ นั้น บางทีถ้าคนทำงานในแวดวงนี้พูดเรื่องสิทธิชนพื้นเมืองมักถูกบอกว่า เอาไว้ก่อน เชื่อกันว่าถ้าการเมืองดีก็จะได้สิทธินั้นมาเอง ซึ่งเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นในพม่าเช่นกัน เท่าที่ผ่านมา พบว่าคนที่สนใจเรื่องสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมือง เมื่อพูดเรื่องสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองจะถูกมองว่าเป็นเรื่องสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งตนมองว่ามันเป็นสิทธิมนุษยชนเช่นกัน เพราะแต่ละสิทธิแยกขาดจากกันไม่ได้ โดยยกตัวอย่างกรณีเมียนมา

“การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชนชาวพม่านั้นมีการลุกฮือของประชาชนหลายครั้ง กลุ่มนักศึกษาจะได้รับการพูดถึงเยอะ ขณะที่กลุ่มชาติพันธุ์ก็เผชิญปัญหาของตัวเองมานานกว่า 50-60 ปี จากการถูกกดดัน กวาดล้างแย่งชิงทรัพยากร แต่เสียงของพวกเขานั้นไม่มีใครได้ยิน จนเกิดการรัฐประหารล่าสุด ผู้คนลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐประหาร

สิ่งที่เปลี่ยนไปมากจริงๆ คือเสียงของชนเผ่าถูกได้ยินอย่างชัดเจนขึ้นมาก คนพม่ารุ่นใหม่หันมารับฟังเพื่อนของตน จึงได้ข้อสรุปว่า ประชาธิปไตยไม่อาจเกิดขึ้นได้หากคุณไม่เคารพชนเผ่าพื้นเมือง ฉะนั้น การต่อสู้ในครั้งนี้จึงเปลี่ยนไปเยอะ ส่วนตัวมองว่าเป็นการเรียนรู้ของประชาชนที่น่าตื่นเต้นพอสมควร”

ทีมข่าวเฉพาะกิจ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image