ที่มา | คอลัมน์ เดือนหงายที่ชายโขง มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | ธีรภัทร เจริญสุข |
เผยแพร่ |
วันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา กระทรวงการเงินของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้ออกข้อกำหนดซึ่งก่อให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในสังคม โดยบังคับให้ผู้ที่ออกนอกประเทศลาวแล้วซื้อสินค้าติดตัวกลับประเทศ ต้องนำสินค้าที่ซื้อกลับมาประเมินราคาเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 10% ณ ด่านภาษีที่เดินทางกลับเข้าไป โดยคิดกับสินค้าติดตัวที่มีมูลค่าเกิน 50 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่าในสกุลเงินกีบหรือสกุลเงินอื่น
ข้อกำหนดดังกล่าวที่ประกาศใช้บังคับทันทีโดยไม่มีที่มาที่ไปแจ้งเตือนล่วงหน้า ทำให้ผู้ที่ทำการค้าแบบไม่เป็นทางการและประชาชนทั่วไปที่นิยมข้ามมาซื้อสินค้าจากฝั่งไทยต้องได้รับผลกระทบในทันที เนื่องจากเท่ากับว่าสินค้าที่ซื้อเพื่อใช้ส่วนตัว หรือเพื่อนำกลับไปขาย มีราคาแพงขึ้นทันที 10%
สาเหตุของการเก็บภาษีดังกล่าว อาจคาดคะเนได้ว่า รัฐบาลลาวต้องการเก็บภาษีให้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้นหลังจากยกเลิกการทำสัมปทานป่าไม้และเหมืองแร่ รวมถึงการห้ามส่งออกไม้ท่อน ไม้แปรรูป ออกจากประเทศ รวมถึงต้องการส่งเสริมธุรกิจการค้าภายในประเทศที่เสียภาษีศุลกากรนำเข้าอย่างถูกกฎหมายและผลิตภัณฑ์ที่ผลิตภายในประเทศ เนื่องจากการที่พ่อค้าแม่ค้าข้ามมาซื้อสินค้าแบบหิ้วจากฝั่งไทย หรือฝั่งเวียดนาม แล้วข้ามไปขายทำกำไรนั้นไม่อยู่ในระบบภาษีศุลกากร เกิดการรั่วไหลของภาษีและทำให้ธุรกิจที่เสียภาษีถูกต้องไม่สามารถแข่งขันในทางราคาได้ เพราะประชาชนนิยมข้ามไปซื้อสินค้าที่ราคาถูกกว่า
อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้ข้อกำหนดดังกล่าวแบบกะทันหัน ส่งผลสะเทือนทันตาเห็นต่อทั้งตลาดการค้าของลาวและตลาดการค้าของไทย โดยยังไม่มีสิ่งใดรับประกันว่ารัฐบาลลาวจะได้รับภาษีมากขึ้น หรือธุรกิจภายในประเทศจะแข่งขันได้ดีขึ้น โดยผลกระทบหลักคือราคาสินค้าเฉลี่ยในท้องตลาดของนครหลวงเวียงจันทน์เพิ่มสูงขึ้นในทันที เท่ากับว่าค่าครองชีพของชาว สปป.ลาวเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าผู้ค้าจะได้รับผลกระทบจริงหรือไม่ แต่ก็สามารถอ้างข้อกำหนดภาษีดังกล่าวเพื่อขึ้นราคาสินค้าได้
ในฝั่งไทย การเก็บภาษีดังกล่าวทำให้ลูกค้าชาวลาวลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าร้านขายส่งระดับกลางที่ข้ามมาเพื่อซื้อสินค้าไปขายต่อ และสินค้าแฟชั่นต่างๆ ห้างสรรพสินค้าในหนองคายและอุดรธานีมีลูกค้าชาวลาวบางตา โดยผู้หนึ่งให้ความเห็นผ่านโซเชียลมีเดียเพจ “โต๊ะน้ำซา” ว่ามูลค่าขั้นต่ำ 50 ดอลลาร์สหรัฐนั้น ซื้อแค่รองเท้าข้างเดียวก็ต้องเสียภาษีแล้ว ไม่สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ใช้งานจริงในปัจจุบัน ราคาที่แพงขึ้นหากต้องเสียภาษีทำให้นักช้อปต้องคิดหนักหากจะซื้อของข้ามแดนกลับบ้าน
นอกจากนี้ การเรียกเก็บภาษีที่ด่านยังทำให้เพิ่มขั้นตอนการตรวจเพิ่มเติม ณ ด่านชายแดน การสัญจรที่หนาแน่นและติดขัดยิ่งต้องเสียเวลาเพิ่มเติมมากขึ้น จากเดิมที่ใช้เวลาค่อนข้างมากอยู่แล้วในวันเสาร์-อาทิตย์ ก็ยิ่งเสียเวลามากขึ้น อีกทั้งการคิดภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้าติดตัวดังกล่าวยังเป็นการเรียกเก็บภาษีซ้ำ เพราะถ้าหากผู้ที่ข้ามมาซื้อสินค้าไม่ได้ขอภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับนักท่องเที่ยวคืนก็ต้องเสียภาษีเดียวกันซ้ำซ้อนสองครั้งด้วย
ประเด็นที่ชาวลาวเป็นห่วงมากที่สุดในการบังคับใช้ข้อกำหนดนี้ คือการรั่วไหลและไม่คงที่ของการเก็บภาษี เนื่องจากหากสินค้าติดตัวไม่มีใบเสร็จรับเงิน ให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเจ้าพนักงานภาษี โดยไม่มีมาตรการตรวจสอบหรืออุทธรณ์ร้องเรียนหากเจ้าพนักงานใช้ดุลพินิจไม่สอดคล้องกับความจริง หรือละเว้นการใช้ดุลพินิจเฉพาะราย
ที่สำคัญในมุมมองของทั้งผู้ค้าและผู้ซื้อ คือการจัดเก็บภาษีดังกล่าว จะเป็นการวางกำแพงภาษีที่ขัดต่อข้อตกลงหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งควรส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศให้หลากหลายและมีพลวัตมากขึ้น หากเมื่อเกิดการเก็บภาษีเพิ่มเติมซ้ำซ้อน การค้าข้ามแดนก็อาจซบเซาลง เป็นผลเสียต่อทั้งสองประเทศในที่สุด