ที่มา | หน้าประชาชื่น, มติชนรายวัน ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน 2564, หน้า 13. |
---|---|
ผู้เขียน | พันธุ์ทิพย์ ธีระเนตร, อธิษฐาน จันทร์กลม |
วันนี้ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2564
วันเดียวกันนี้ เมื่อ 89 ปีที่แล้ว 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2475
บุคคลกลุ่มหนึ่ง ‘ก่อการ’ ที่นำไปสู่การพลิกโฉมการเมืองไทยไปตลอดกาล
‘คณะราษฎร’ นำพาสยามเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ตั้งไข่ ล้มลุก และคลุกคลาน
ตลอดช่วงเวลาเกือบ 9 ทศวรรษ ภายใต้ความรับรู้ที่แตกต่าง บนเส้นเรื่องของพัฒนาการที่เดินหน้า หยุดนิ่ง ถอยหลัง กระทั่งกลับสู่วังวนที่ผู้คนต้องออกมาต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม เสมอภาค อันเป็นหนึ่งในหลัก 6 ประการที่ถูกประกาศเมื่อครั้งเปลี่ยนแปลงการปกครอง
คนหลากรุ่นหลายเจนเนอเรชั่นมองอย่างไร สู้แบบไหน และเพื่อสิ่งใดไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์ร่วมสมัยอันมีจุดตั้งต้นจากวันนี้เมื่อ 89 ปีก่อน
‘คนรุ่นใหม่’ ไม่ลืม แถม ‘ยิ่งจำ’ ความรู้นอกห้องเรียน ปลุกสู้เพื่อพรุ่งนี้
เริ่มต้นจากความรับรู้ผ่านแบบเรียน ที่เคยถูกนำมาตีแผ่แล้วหลายครั้ง ว่าการเรียนการสอนในบ้านเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ดังกล่าวเท่าที่ควรจะเป็น
“น้อยมากครับ แทบจะไม่มีตัวตนเลย เปิดหนังสือไปจะได้รับรู้แค่ว่า คณะราษฎร นำโดยพระยาพหล พลพยุหเสนา โดยปรีดี พนมยงค์ เสร็จแล้วครูจะข้ามไปบทอื่นเลย แค่นี้มันยังไม่เพียงพอกับประวัติศาสตร์ที่สำคัญมาก ปูนไม่เคยรู้จากตำราเรียนว่า 24 มิถุนายนเคยเป็นวันชาติ แต่รู้จากการที่ศึกษาเอง อยากให้คุณครูให้ความสำคัญและตระหนักว่า บุคคลเหล่านี้คือผู้คนที่นำเสรีภาพ การเลือกตั้งหรือว่าการเปลี่ยนแปลงต่างๆ มาสู่พวกเรา
คือความในใจของ ธนพัฒน์ กาเป็ง หรือ ปูน เยาวชน เจนเนอเรชั่น Z จากกลุ่ม ‘ราษฎรเอ้ย’ ผู้โดดเด่นในการปราศรัย ทั้งลีลา สำนวนภาษา และข้อมูลที่นำเสนอในการชุมนุมเมื่อปี 2563 ต่อเนื่องถึงปัจจุบันที่เจ้าตัวต้องเดินสายไปรับทราบ ‘ข้อกล่าวหา’ ในหลายคดี
จาก ‘เด็กมัธยม’ คนหนึ่ง สู่นักกิจกรรมที่ลุกขึ้นต่อสู้ต้านเผด็จการ จากภาพคุ้นตาคืออนุสาวรีย์หน้าโรงพยาบาลพหลพลหยุหเสนา จังหวัดกาญจนบุรี บ้านเกิด สู่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ
“ที่บ้านเกิดปูนมีโรงพยาบาลพหลพลหยุหเสนา ข้างหน้ามีอนุสาวรีย์พระยาพหลฯ เราก็เริ่มจากความสงสัยว่าทำไมโรงพยาบาลถึงตั้งเป็นชื่อเขา จนก็ได้รู้ว่าเป็นผู้ก่อการ นำความเจริญมาสู่ประเทศ แต่คนในจังหวัดก็ยังมีส่วนหนึ่งที่มองว่า ท่านคือกบฏ แต่ในความคิดเรา ท่านไม่ใช่กบฏ อยากจะบอกว่าขอบคุณมากๆ ที่ท่านกล้าหาญ ท่านเสียสละ ทุกวันนี้สำหรับเด็กรุ่นใหม่ เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ทำก็เพื่อให้คนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น ท่านไม่เคยหายไปจากใจคนที่รักประชาธิปไตยเลย เมื่อมีคนสั่งให้เราลืม มันก็เป็นสิ่งที่เราต้องจำ”
ปูนยังเล่าว่า ก่อนหน้านี้ ครอบครัวเคย ‘รับไม่ได้’ ที่ลูกหลานออกมาเปิดหน้าทำกิจกรรม ทว่า ต่อมาก็เริ่มเข้าใจ
“เขาเคยไปร่วมชุมนุม กปปส. เขารับไม่ได้เลย ด่าเรา มีแต่ฟีดแบ๊กตีกลับ จนวันหนึ่งเขาโทรมาแล้วบอกว่าสู้ๆ นะ เพราะรับไม่ได้ที่กับการที่ลูกโดนกระทำแบบนี้ เลยเริ่มที่จะเปิดหู เปิดตารับฟังอะไรมากขึ้น จนมารู้ว่าสิ่งที่เขาเคยเชื่อในอดีตคือผิดทั้งหมดเลย สิ่งที่ปูนคิดมาตลอดคือจะทำอย่างไรให้คนในประเทศมีชีวิตที่ดีขึ้น ทำอย่างไรให้ไม่มีการรัฐประหารครั้งที่ 14 เกิดขึ้น เราคืออีกหนึ่งคนที่คาดหวังว่าอยากให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ สามารถพูดได้ว่าตัวเองนั้นต้องการอะไร อยากเข้าถึงรัฐสวัสดิการ อยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้ อยากให้เด็กทุกคนได้เรียนฟรี 15 ปี หรือเรียนฟรีถึงปริญญาตรี” ปูนเปิดใจถึงความใฝ่ฝัน
ก่อนย้ำว่า “ตราบใดที่เรายังไม่ตาย เท่ากับว่ายังมีหวังในการสู้ต่อทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า”
เข็นประชาธิปไตยขึ้นภูขา ปีนี้เหนื่อยสุด คนท้อแต่ขอให้ทน
จากคนรุ่นใหม่ ขยับช่วงวัยย้อนหลังไปอีกนิด คุยกับ ฐนพงศ์ ลือชัยขจร นักวิชาการวัย 30 ต้นๆ เจ้าของผลงาน ‘ปลดแอกชาติ จากศักดินา-(ราชา)ชาตินิยม’ ซึ่งเล่าว่า ในช่วงที่ตัวเองยังเรียนมัธยม 24 มิถุนายน 2475 เป็นแค่หนึ่งในเหตุการณ์หนึ่งในบทเรียนไม่ต่างต่างการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 และ 2 ทว่า ปัจจุบัน ไม่ใช่เช่นนั้นอีกต่อไป
“ช่วงที่ผมเรียนมัธยม เรารับรู้เรื่องราว 2475 ในฐานะเหตุการณ์หนึ่ง ไม่ต่างจากการเสียกรุง ไม่ได้ต่างจาก 14 ตุลาเท่าไหร่ เป็นครั้งหนึ่งของประชาธิปไตย เป็นความพยายามหนึ่งแล้วก็ล้มเหลว แต่สุดท้ายความล้มเหลวก็มาจากนักการเมืองชั่ว ทหารเผด็จการ พอมองย้อนกลับไปจริงๆ น่าสนใจว่าการรับรู้มีลักษณะค่อนข้างแปลกในระดับหนึ่ง รู้ว่าปรีดี พนมยงค์ เป็นฝ่ายประชาธิปไตย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นเผด็จการ เราไม่ได้รับรู้เหมือนน้องๆ ในปัจจุบันซึ่งกลับมาเชิดชู จอมพล ป. อีกครั้ง”
ฐนพงศ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน เหตุการณ์ 24 มิถุนายน 2475 เริ่มถูกให้ความหมายเป็นประชาธิปไตยแท้จริงขึ้นเรื่อยๆ ย้อนกลับไปช่วงก่อนหน้า นิยายบางเล่มให้ภาพยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งใครไม่เคารพธงชาติ จะโดนทหารตีหัว เป็นภาพลักษณ์ที่แย่มาก แต่ตอนนี้ คนมองว่าจอมพล ป. วางแผนทำลายวัฒนธรรมชนชั้น
“คนเห็นมุมมองการตีความเปลี่ยนไปเยอะมาก ภาพลักษณ์จอมพล ป. เปลี่ยนไปเลย กลายเป็นวีรบุรุษ คณะราษฎรทั้งหมดกลับไปอยู่ในฝ่ายฮีโร่ นักอุดมการณ์ ที่พยายามจะทำให้ประชาธิปไตยสำเร็จ”
สำหรับปีที่ 89 ของประชาธิปไตย ที่มีหลากปัจจัยส่งผลให้ ‘ม็อบแผ่ว’ อย่างปฏิเสธไม่ได้ นักวิชาการ GEN Y ท่านนี้บอกว่า ปีนี้จะเหนื่อยที่สุด
“ถ้าถามผมนะ มันจะเป็นปีที่เหนื่อยที่สุด ที่ผ่านมาประชาธิปไตยมันเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา ปีที่ 89-90 จะเหนื่อยที่สุด และคนเริ่มท้อใจ อยากย้ายประเทศ แต่ถ้าทนอีกนิดหนึ่งเนี่ย มันจะเป็นทางลงภูเขาแล้ว หากอดทน รับรองว่าหมดโควิด จะกลับมามีการเรียกร้องได้ยิ่งกว่าปีที่แล้วแน่นอน ผมเชื่อว่าชนชั้นกลางหลายคน ที่ยังกล้าๆ กลัวๆ และเคยอยู่ตรงกลางเริ่มไม่มีตังค์จะกินแล้ว ประเด็นการเรียกร้องก็อาจจะเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น ลดเพดานลงนิดหน่อย แต่ในแง่ของความเห็นของสังคมมันเริ่มเกิดแล้วว่าอยู่ต่อไปอย่างนี้ ไม่โอเค”
ส่วนกระแสข่าวแนวโน้ม ‘ยุบสภา’ ฐนพงศ์ฟันธงว่า ‘อย่างไรก็ไม่ยุบ’
“ผมว่ารัฐบาลรู้แล้วว่าเลือกตั้งใหม่มีโอกาสจะกลับมาได้น้อยลง เขาไม่ยุบหรอก ยิ่งด่าก็จะยิ่งสู้ ยังไงเขาก็จะอยู่ต่อไป”
คณะราษฎรไม่มีวันตาย ‘เชื่อว่าจะมีชัยชนะในวันหนึ่ง’
ปิดท้ายด้วยรุ่นใหญ่ ยุค ‘เบบี้บูมเมอร์’ อย่าง อาเล็กโชคร่มพฤกษ์ ชาวท่าศาลา นครศรีธรรมราช อดีตศิลปินเพื่อชีวิตค่ายเพลงดังที่ประกาศตัวเป็น ‘ศิลปินเพื่อราษฎร’ ล่าสุด จัดกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์ 2475 ทุกเสาร์-อาทิตย์ตลอดเดือนมิถุนายนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แถมคอนเสิร์ตรอบพิเศษบนทางเท้าหน้า ‘วัดประชาธิปไตย’ ซึ่งมีชื่อในปัจจุบันคือ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร บางเขน สถานที่บรรจุอัฐิคณะราษฎรภายในเจดีย์ที่สื่อถึง ‘หลัก 6 ประการ’ ด้วย ‘บัวกลุ่ม’ 6 ชั้น ไม่ใช่ 7 หรือ 9 ตามแบบไทยประเพณี
“เริ่มสนใจและอ่านประวัติศาสตร์จริงจังสุดสุด ตอนเกิดรัฐประหาร 19 กันยา 49 ทุกวันนี้ยังศึกษาอยู่ เพราะหนังสือแต่ละเล่ม เล่าเรื่อง 2475 ไม่เหมือนกันครับ บางเล่มเล่าไปเล่ามาก็แอบด่าคณะราษฎรทีหนึ่ง บางเล่มก็อวยคณะราษฎรเกินเหตุ แต่ไม่ว่าอย่างไร การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นสำคัญมาก วันนี้ ชนชั้นสูงก็เสวยสุขจากหลักของคณะราษฎร คนรากหญ้าก็ได้มีกินประทังชีวิตจากหลักของคณะราษฎร จิตใจของเราอยู่ที่หมุดคณะราษฎร อยู่ที่อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ มันเชื่อมติดกับจิตวิญญาณของเราโดยอัตโนมัติ สถานการณ์มันพาเรามา ความไม่ยุติธรรมมันอยู่ทั้งระบบ มันคือตัวผลักดัน มันเป็นแรงบันดาลใจให้สนใจการเมือง”
ท่ามกลางการตั้งคำถามถึงศิลปินเพื่อชีวิตบางรายที่ดูเหมือนแอบมีใจให้ฝ่ายเผด็จการ อาเล็ก ยืนยันว่าจะใช้ดนตรีและเสียงเพลงแทนการ ‘ปราศรัย’ ต่อไป
“เดือนนี้เป็นเดือนแห่งการเปลี่ยนแปลง เป็นเดือนที่เราจะต้องรำลึก จะบอกเล่า แชร์กันว่า 2475 มันเกิดอะะไรขึ้น เรามีหน้าที่เล่นดนตรี อาจจะดูเต้นแร้งเต้นกา ตลกโปกฮา แต่ไปดูในเนื้อเพลงสิครับว่าพูดถึงอะไรในนั้น ตราบใดที่สถานการณ์ทางการเมืองยังเป็นเช่นนี้ จะพุ่งชนทุกวัน สงครามนี้เป็นสงครามความคิด ไม่ได้เป็นสงครามที่หลั่งเลือด เราทำงานศิลปะเพื่อราษฎร แสงสว่างเท่านั้นที่จะไล่ความมืด เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ที่เราสู้ต้องการแสงสว่างเพื่อให้เห็นความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้นในเมืองนี้” อาเล็กกล่าว ก่อนทิ้งท้ายว่า ศิลปินอยู่เพื่อสร้างงาน และทั้งชีวิตเล่นดนตรีเป็นอย่างเดียว หน้าที่หลักตอนนี้คือต่อสู้ทางการเมือง
อุดมการณ์คณะราษฎรไม่มีวันตาย ยังมีแต่ความงอกงาม และจะมีชัยชนะในวันหนึ่ง